Follow my soul ,, ♥

เขียนไปเท่าที่ใจอยาก

► Recommend letter & Transcript นั้น ท่านได้แต่ใดมา July 11, 2010

,, ห่างหายจากการอัพไปนานแสนนาน เพราะมัวแต่ออกไปซื้อข้าวของเตรียมตัวบิน
แต่ไม่ใช่ลูลิหรอกค่ะที่บิน คุณน้องสาวเค้าตัดช่องน้อยแต่พอตัว ขออาสาบินไปก่อน
ซื้อของไปน้ำตาซึมไป……………. (ไม่ใช่อะไร เสียดายเงิน = =’)

วันนี้น้องสาวก็บินไปแระ อยู่คนเดียวก็ฟุ้งซ่านมานั่งเขียนบลอคดีกว่า
(ด้วยหวังว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ 55555+)

.

.

Photobucket

หลังจากที่ไปทำพาสปอร์ตเล่มใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ปราการด่านต่อไป ก็คือเอกสารสำคัญทางการศึกษา 3 อย่าง
นั่นก็คือ Transcript, ใบจบ แล้วก็ Recommend letter จากอาจารย์ 2 ฉบับค่ะ

สำหรับมหาลัยในอเมริกาต้องใช้ recommend letter ทั้งหมด 3 ฉบับค่ะ
โดยมากแล้วก็จะขอจากอาจารย์ 2 ฉบับ แล้วก็จากที่ทำงาน 1 ฉบับ
แต่ก็เคยมีหลายคนบอกนะว่า ไม่จำเป็นต้องแบบนี้ก็ได้
บางคนก็ใช้จดหมายฉบับที่ 3 จากหุ้นส่วน จากเพื่อน หรือบางคนจากลูกค้าก็มี
ส่วนมหาลัยของอังกฤษ สบายกว่านิดนึง คือขอ 2 เท่านั้นพอ ^^
ในเคสของลูลิต้องใช้จดหมายทั้งหมด 3 ฉบับ และที่แพลนเอาไว้ก็คือจากอาจารย์ 2 เจ้านายอีก 1

.

.

► Recommend letter จากมหาวิทยาลัย

ตอนแรกที่ไปขอ ก็ไปแบบหน้าซื่อๆ.. เดินดุ่มๆเข้าไปที่ห้องพักอาจารย์
จารย์ขา.. หนูมาขอ recommend ค่ะ” หน้าซื่อตาแป๋วบอกอาจารย์ไปอย่างนั้น
อาจารย์ก็มองสำรวจ แล้วก็หัวเราะ “ชั้นว่าแระ ว่าต้องมาเรื่องนี้!!”
พอได้คุยนู่นนี่ ก็เลยรู้ว่า ออ… นี่มันฤดูขอ recommend นี่เอง คนวิ่งเข้าวิ่งออกกันให้วุ่น

สำหรับลูลิ ถือว่าค่อนข้างโชคดี ที่ถึงจะจบไปตั้ง 4 ปีแล้ว แต่อาจารย์ก็ยังคงจำวีรกรรมได้เป็นอย่างดี
ก็เลยไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวนานนัก ว่าหนูเป็นใคร มาจากไหน
เคยเรียนกับอาจารย์เมื่อไหร่ แล้วก็มีความประพฤติยังไง..
แต่.. ถึงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี แบบเห็นหน้าอ๋อ เห็นชื่ออ๋อ.. แต่อาจารย์ก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเราเท่าไหร่หรอกค่ะ
อาจารย์ก็เลยบอกว่า ให้ไปเขียนมา เล่าเรื่องตัวเองว่าทำอะไรในมหาลัย มีจุดมุ่งหมายอะไรถึงจะเรียนสาขานี้
จบแล้วจะทำอะไร เพราะว่าเปลี่ยนฟิลด์ที่เรียนแบบหน้ามือหลังมือแบบนี้ (สถาปัตย์→บริหาร)
อาจารย์ก็เลยต้องการข้อมูลไปเขียนบิ๊วว่าเรามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าเรียนในคณะที่เราเลือก!!
แหม.. อาจารย์ก็ช่วยส่งอย่างสุดแรงจริงๆ ขอบคุณนะคะ ♥

ตอนที่ลูลิไปขอจดหมายจากอาจารย์ ครั้งแรกเลยก็ไปมือเปล่าเหมือนกัน
แต่พอได้คุยกับอาจารย์เลยรู้สึกว่า ตัวเองก็ติงต๊องเหมือนกันนะที่คิดว่าเค้าจะจำเรื่องของเราได้หมด
เพราะฉะนั้น เวลาไปขอ recommend letter ก็ควรจะแนบเอกสารที่ทำให้อาจารย์มีข้อมูลที่จะเขียนถึงเราด้วย
– Transcript: จะได้รู้ประวัติการเรียนว่าเป็นยังไง
– CV หรือ resume: จะได้มองภาพรวมออกว่าเราเป็นคนแบบไหน
– เรียงความเล่าเรื่องตัวเองสั้นๆ: อยากเรียนเพราะอะไร มีแรงบันดาลใจอะไร มีธุรกิจหรืออะไร บลาๆๆ

หลังจากอาจารย์ตกลงเอาชื่อเสียงตัวเองค้ำประกันให้เราแล้ว
สิ่งที่ต้องทำต่อไป ก็คือ……. “รอ”
อันนี้ขอแนะนำว่า แพลนเวลาดีๆ ไปหาอาจารย์ (รวมถึงเจ้านาย) แต่เนิ่นๆ
เพราะว่าบางทีอาจารย์ก็งานเยอะม๊ากกกกกกกก ไม่มีเวลามาเขียนให้เราค่ะ
ในเคสของลูลิ ถือว่าโชคดีมาก (ทั้งๆที่เซิ่มเบ๊อะกว่าใครเพื่อน -*-)
เข้าใจ(เอาเอง)ว่า ขอแล้ว 3 วันมาเอาไว้เลย เหมือนอย่างขอ Transcript ><

แต่ไม่ใช่นะคะ อาจารย์ต้องใช้เวลาในการเขียน ในการศึกษาข้อมูลคณะที่เราจะไปต่อ
แล้วก็แน่นอนว่าต้องรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับตัวเราด้วย ^^
แล้วอาจารย์ที่ไปให้เขียนให้ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ใช่มั๊ยคะ
ก็แน่นอนว่า งานที่มหาลัยก็บานเบอะแทบล้มทับตายแน่ๆล่ะ

ลูลิทิ้งข้อมูลไว้ให้อาจารย์ แล้วก็ไม่ได้คุยกันว่าจะเอาเมื่อไหร่ (เพราะไม่กล้า)
1 อาทิตย์ผ่านไป ก็โผล่หน้าไป “อาจ๊านนนนนนน เขียนให้หนูยังคะ!!”
อาจารย์ถึงกับวี๊ด ไหนบอกเธอไม่รีบไง…!!
ก็ไม่รีบค่ะ แต่ถ้าเร็วได้ก็ดี แหะแหะ

ทั้งๆที่เป็นช่วงเพิ่งเปิดเทอม แต่อาจารย์ที่สุดแสนใจดีทั้งสอง
ก็รีบปั่นจดหมายมาให้ ทันยื่นไปมหาลัยที่เมกาจนได้ ^^
ถึงจะบีบคั้นอาจารย์ไปซักหน่อย แต่ก็ต้องขอบคุณมากๆเลยนะค๊า
แถมยังให้แอบเห็นอีกว่าอาจารย์เขียนถึงลูลิว่าอะไร
อวยกันขนาดนี้ มหาลัยไม่รับก็ให้มันรู้ไป!! 555555+

สรุปว่าลูลิใช้เวลาในการขอ Recommend letter จากอาจารย์ 2 ท่าน
ใช้เวลารวม 2 อาทิตย์ถ้วน (แบบว่าเร่งอาจารย์สุดชีวิต) ถือว่าโชคดีมากๆจริงๆ
หลังจากที่ได้จม.มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ไปนั่งคุยกับเพื่อนที่ไปขอเมื่อตอนต้นปี
มันบอกว่าเป็นเดือนก็ยังไม่ได้เลย เพราะว่าอาจารย์งานยุ่งมากๆ (อาจารย์คนเดียวกันนี่ล่ะ)
*ปาดเหงื่อ* เรานี่มันมากับดวงจริงๆน๊า 5555+

ปล.ไม่ได้มา’มหาลัยนานมาก มาแล้วรู้สึกเหมือนเป็นที่ที่ไม่รู้จักยังไงก็ไม่รู้ T^T
หน้าคณะใหม่ ลิฟท์ใหม่ หรูหราไฮโซววววว
กรี๊ดดดด เอาแหล่งเสื่อมโทรมของนู๋คืนมาาาาาาาาาาาาา~~

Photobucketหน้าคณะที่เมื่อก่อนเป็นกองขยะ.. ตอนนี้หรูหราจนนึกว่ามาผิดที่ -*-

Photobucket
ลิฟท์ที่ต้องเสียววูบวาบทุกทีเวลาขึ้น เปลี่ยนใหม่กว้างใหญ่และไฉไลอย่างบอกไม่ถูก

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…….. “เมื่อเราจบไป อะไรๆ มันก็ดีขึ้น T^T”

.

.

► Recommend letter จากบริษัท

ส่วนจดหมายจากเจ้านาย เจ้านายบอกว่า “เอ็งไปเขียนมาเอง แล้วก็เอามาให้เซ็นละกัน”
ไอ้เราก็ หือออออ… เขียนชมตัวเองนี่น่ะเหรอ โอ้ววววว ยากจังน๊า
แต่ในเมื่อเจ้านายไม่ยอมเขียนก็จะทำไงได้
ก็ต้องลงมือเขียนเองนี่ล่ะ!! (เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันเป็นเรื่องปกติ ใครๆเค้าก็ทำกัน = =)

ก่อนอื่นก็เซิชหาก่อน ว่า recommend letter นี่มันเขียนอะไรกันบ้าง
(ตอนแรกยังไม่ได้อ่านที่อาจารย์เขียนให้ เลยไม่มีไอเดียเลย)
เสร็จแล้วก็เอามาลอก!!!!
ตัด 2 ประโยคของคนนี้ แล้วก็ต่อด้วยอีก 2 ประโยคของคนนั้น
แล้วก็ปรุงแต่งความสามารถส่วนตัวของเราเพิ่มเข้าไปอีกหน่อย ก็เป็นอันเสร็จพิธี
โอ้ ง่ายดีแท้น๊อ ><

วันที่เอาไปให้เจ้านายเซ็น เจ้านายก็มอบอำนาจมาให้หัวหน้าตรวจให้ก่อน
(กลัวว่าอินี่มันจะเขียนชมตัวเองเวอร์)
แล้วก็แน่นอนว่าผ่านฉลุย (มีหัวเราะบ้างเล็กน้อย)
ก็ลูลิเขียนแต่เรื่องจริงนี่นา ส่วนข้อเสียอย่างเรื่องมาทำงานไม่เคยทันเลย!! ใครมันจะไปเขียนล่ะจริงมิ ^^

.

.

► Transcript และใบจบ

อย่างสุดท้ายสำหรับเอกสารทางการศึกษา ก็คือ Transcript กับใบจบ จากมหาวิทยาลัย
อันนี้ง่ายที่สุดใน 3 อย่างที่พูดถึงในวันนี้
ก่อนอื่นก็ต้องไปที่ฝ่ายงานทะเบียนนิสิต(อะไรทำนองนี้)ของมหาวิทยาลัยตัวเองซะก่อน
ในที่นี้ก็คือตึกจามจุรี 5 ที่อยู่ใกล้ๆกับหอสมุดกลางนั่นเอง
เดินดุ่มๆขึ้นไปชั้น 2 (ลิฟท์ไม่จอดนะเออ ชั้นเดียวขึ้นบันไดเอาเต๊อะ)
ก็จะเจอป้ายบอกทาง ว่าต้องเข้าไปทำเรื่องทางห้องขวามือนี้นะคะ

Photobucket

แต่ก่อนจะเข้าไป อย่าลืมกรอกเอกสารที่วางไว้หน้าประตูก่อนจ้า

Photobucket

ต้องการเอกสารอะไร ก็หยิบไปกรอกให้เรียบร้อย
เอากี่ใบก็ว่ากันไป (เอกสารชุดละ 50 บาท ไม่รวมค่าส่ง)

เสร็จแล้วก็เอาไปยื่นที่เคาเตอร์ด้านใน ที่หน้าเคาท์เตอร์จะติดป้ายเอาไว้ว่ายื่นเอกสารสีอะไรให้อยู่แล้ว
จากนั้นก็จ่ายเงิน แล้วก็จะได้ใบสีชมพูๆ เป็นใบเสร็จมา 1 ใบ
3 วันทำการหลังจากยื่น ก็เอาใบนี้พร้อมบัตรประชาชนมารับได้เลยค่ะ

ปกติแล้วเวลามาติดต่อราชการ ก็จะต้องใส่ชุดนิสิตให้เรียบร้อย แล้วก็ใช้บัตรนิสิตในการติดต่อ
แต่ว่า หลังจากที่จบไปแล้ว ไปเอาชุดนิสิตมาใส่ หน้าก็ออกจะล้ำวัยไปนิด ไม่ต้องใส่ชุดนิสิตมานะคะ
ใส่ชุดเรียบร้อยมาก็พอค่ะ ^^ ถ้าใส่กางเกงก็เป็นกางเกงขายาว และไม่เอารองเท้าแตะจ้า

.

.

เรคคอมเมน เลตเตอร์
Recommend letter ออกมาจะได้หน้าตาแบบนี้ค่ะ
แต่ว่าส่วนมากแล้วก็จะพับใส่ซอง ตามธรรมเนียมปฎิบัติก็จะลงลายเซ็นปิดผนึกเอาไว้
(ทำไมถึงให้เห็นไม่ได้ ไม่เข้าใจ -*- กลัวนักเรียนปลอมแปลงเอกสารงั้นรึ??)

ทรานสคริปต์ และใบจบ
Transcript และ ใบจบ
กระดาษแผ่นเดียว ราคาตั้ง 50 บาท =3=
แต่ก็เอาเถ๊อะ เพื่ออนาคตที่ยิ่งใหญ่ 5555

.

.

,, อยากบอกว่า….. 3 วันที่วิ่งเข้าวิ่งออกมหาลัย เหนื่อยยากดีแท้
เพราะว่าตอนนี้ที่จุฬาสร้างอาคารจอดรถใหม่เสร็จหมดแล้ว
จอดแวะหน้าคณะไรแบบนี้ไม่ได้แล้วล่ะ ต้องเอารถไปจอดที่อาคารจอดรถเท่านั้น
แล้วแบบว๊า….. มันไกลมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ไกลขนาดนี้ ให้อิชั้นเอารถไปจอดพารากอนแล้วเดินมาก็ได้นะเจ้าคะ !!!!!!

End.

 

4 Responses to “► Recommend letter & Transcript นั้น ท่านได้แต่ใดมา”

  1. Sak Says:

    ลุลิค้าบ.. letter reommend เนี่ยะความยาวมันควรจะเท่าไรหรือยังไงหรอครับจากที่ลูลิได้มา แล้ว letter recommend เนี่ยะเราขอไว้ก่อนที่จะใช้จริงนานเลยได้ไหมครับ ประมาณปีนึงเห็นจะได้ เพราะผมต้องสอบ GMAT ให้ผ่านก่อนอีก

    • lady2go Says:

      ที่อาจารย์เขียนให้ก็ประมาณ 3 ย่อหน้าอ่ะค่ะ ไม่เต็ม A4 ดี ส่วนอันที่ลูลิเขียนเองก็หน้านึงพอดีค่ะ โดยมากก็ไม่เห็นมีใครเขียนยาวนะคะ ภายใน 1 หน้าทั้งนั้นเลย

      ส่วนเรื่องของล่วงหน้า ลูลิว่าปีนึงก็นานไปนะคะ เพราะว่ามันจะมีลงวันที่เอาไว้ในจดหมายด้วยอ่ะค่ะ ว่าเขียนเมื่อไหร่ ถ้ามันนานเกินไปมันก็จะดูแปลกๆ แต่ถ้าซักครึ่งปีไรงี๊ก็น่าจะพอไหวอ่ะค่ะ ^^

      ปล.GMAT ยากมากกกกกก สู้ๆ ^^V

  2. Ying Says:

    ลูลิคะ อยากถามว่าฟอร์มจ่าหน้าซองของจดหมาย recommendation มันต้องเขียนอะไรบ้างหรอ ของเราอาจารย์ไม่ได้กรอกอะไรมาให้เลยอะค่ะ

    • lady2go Says:

      ของลูลิก็ไม่ได้เขียนอะไรมาเลยเหมือนกันค่ะ
      แต่ว่าด้านหลังมีเซ็นสลักหลังไว้ค่ะ (กันแอบเปิดอ่าน ^^)


Leave a comment