,, พอดีว่ามีหลายคนอีเมลล์มาถามเกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนสอนภาษาค่ะ
ทั้งเรื่องการสมัคร การเรียน บลาๆๆๆ….
ก็เลยทำให้ลูลินึกย้อนกลับไปสมัยเตรียมตัวมาเรียน
ว่า….จริงๆแล้ว ลูลิเองก็เคยสงสัยเหมือนกัน ว่าไอ้ “โรงเรียนสอนภาษา” นี่มันสอนอะไรกัน?!?
นึกย้อนไปสมัยที่เรียนภาษาอยู่ที่เมืองไทย (ย้อนน๊านนาน.. ต้องนั่งไทม์แมชชีนกันเลยมั้ย = =)
ลูลิเริ่มเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง กับ อ.บุญชัย ณ Fast English ค่ะ
ตอนนั้นก็เรียนเน้น Grammar อยู่เป็นปี ต่อด้วยคอร์ส TOEFL แล้วก็ตามด้วย G-MAT
จัดเต็มซะหลายคอร์ส….. ด้วยหวังว่าภาษาเราจะกระเตื้องขึ้นมาบ้าง
แต่…. ( °ο°)~ @
อ.บุญชัย ไม่ใช่เทพเจ้าค่ะ
ไม่สามารถเสกรอยหยักในสมองเพิ่มให้ลูลิได้ (-__-)
แต่.. (อีก) ก็ได้รับอะไรหลายๆอย่างจาก อ.บุญชัย นะ (ノ><)ノ (โฆษณาก่อน เดี๋ยวจะหาว่าลูลิเนรคุณ >///<)
อย่างนึงคือ….. ลูลิรับ grammar จากอ.บุญชัยมาเต็มๆ
ถึงจะไม่แม่นเป๊ะ (เพราะสมองขี้เลื่อย)
แต่ลูลิค้นพบว่า มัน“ใช้ได้จริง”มากๆตอนมาเขียน research paper ที่นี่ล่ะค่ะ!!
.
.
.
ถึง grammar กับความเว่นเว้อชอบเขียนจะทำให้ writing พอถูพอไถไปได้..
แต่ ฟัง อ่าน พูด ก็ยังเรียกได้ว่า… ระยำ!!
ลูลิก็เลยตัดสินใจหอบเงินก้อนโตไปลงทุนกับ Wall street institute
ด้วยมุ่งหวังว่า…. ลิ้นเราจะมีธงชาติ’เมกาขึ้นกับเค้าบ้าง ><
ลูลิมีเวลาประมาณ 7 เดือนก่อนจะบิน ไปนั่งรากงอกอยู่ที่ wall street
ถ้าถามว่าได้อะไรมั้ย… ลูลิอยากตอบว่า“ได้ค่ะ” (นี่ไม่ได้ค่าโฆษณาจริงๆนะ >< )
ลูลิอยากบอกว่า Wall street เป็นด่านแรกที่ทำให้ลูลิรู้ว่า “ภาษาอังกฤษ พูดยังไง”
ที่ผ่านมาทั้งชีวิต เรียน เรียน เรียน,, ท่อง ท่อง ท่อง…. แต่ไม่เคยพูด
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จะพูดภาษาอังกฤษอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
แรกๆก็อายค่ะ เพราะว่ามีแต่เด็กเล็กนัก = =’ เข้าไปนี่จัดได้ว่า “แก่”
แต่ก็ต้องแอ๊บๆ เนียนๆไป ,, วันนึงมันก็เริ่มอายน้อยลง (เรียกอีกอย่างว่าเริ่มด้าน 555+)
7 เดือนผ่านไป แกรมม่าไม่ได้ดีขึ้น ฟัง พูด ก็ยังงูๆปลาๆ
แต่มัน ถึง เว ลา แล้ววววววววววววววววววววว!!
.
.
.
สิงหาคม 2010 … ลูลิเปิดประสบการณ์ใหม่กับ “โรงเรียนสอนภาษา” ของจริง!!
ที่แรกที่ไปเรียนคือ Kaplan Aspect ค่ะ
สาเหตุอาจจะฟังไม่น่าเอาเยี่ยงอย่างเท่าไหร่ ก็คือ เลือกเพราะ… มันใกล้บ้านที่สุด ><
วันแรกที่มาเรียน กลัวมากกกกกกกกกกกกก.. มือไม้สั่นไปหมด
ถ้าชั้นพูดไม่รู้เรื่องล่ะ ถ้าชั้นฟังไม่เข้าใจล่ะ ถ้าชั้นไม่มีเพื่อนเลยล่ะ ถ้า ถ้า ถ้า….. !!! กรี๊ดดดดดดดดดดด ╯﹏╰
ก้าวเข้าไปโรงเรียนอย่างกล้าๆกลัวๆ
เจ้าหน้าที่ก็บอกให้นั่งรอ แล้วก็พอไปสอบวัดระดับ
ข้อสอบจะเป็น Choice ค่ะ ก็ listening part แล้วก็ grammar part
ใช้เวลาสอบแป๊บเดียว,, พอสอบเสร็จ ก็บอกว่ากลับบ้านได้….
อ่าว = =”
แค่เนี๊ยะ!!!!!
.
.
.
แค่นั้นจริงๆค่ะ…
วันแรกในการมาเรียน ก็จะต้องมีการสอบวัดระดับก่อน
เพื่อที่จะรู้ว่า เค้าจะ add เราเข้าไปใน class ไหนดี
ที่ Kaplan.. เค้าจะแบ่ง class ออกเป็นระดับๆ
beginner / intermediate / semi-intermediate / pre-advance / advance
(ชื่ออาจจะไม่ใช่แบบนี้นะคะ แบบว่าจำไม่ได้แล้วต้องขออภัยอย่างแรง)
ใน 1 ห้อง จะมีนักเรียนประมาณ 8-12 คน กับอาจารย์ประจำชั้น 1 คน
อาจารย์คนนี้จะประจำที่ห้องนี้ สอนคลาสนี้ ตั้งแต่ 8 โมงจนถึงเที่ยง (คลาสเช้า)
ส่วนคลาสบ่ายจะเป็นวิชาเลือก,, ใน 1 เดือนเลือกได้ 2 วิชา
เรียนวิชา A วันจันทร์ กับวันพุธ แล้วก็เรียนวิชา B วันอังคาร กับวันพฤหัส
ส่วนวันศุกร์เรียนแค่คลาสเช้าอย่างเดียว
โดยทุกๆ 1 เดือนจะมีการสอบวัดระดับ ถ้าผ่านกี่ครั้งๆ ก็จะเลื่อนไปเลเวลสูงขึ้นค่ะ
ลูลิโดนจับไปอยู่คลาส Advance!!!
งงเต๊ก!!!
มายังไง = =’
สงสัยอ.บุญชัยจะเคี่ยว grammar เรามาดี 555+
ห้องเรียน (ขยันกันจัง แต่ละคน!!)
คนในคลาส advance ก็จะพูดเก่งๆกันทั้งนั้น แล้วก็สนิทกันพอสมควร
เพราะว่าเค้าเรียนแต่ระดับกันมานานแล้ว
น้องใหม่อย่างเรา ก็ได้แต่นั่งเจี๋ยมเจี้ยม… นานๆจะงัดวิชาหน้าทน โพล่งพูดกับเค้าซักที
กว่าจะสนิทกับเพื่อนๆในห้องได้ ก็ปาไปเกือบจะสิ้นเดือน
แล้วก็ถึงเวลาที่ลูลิจะต้องย้ายโรงเรียน
แค่เดือนเดียว แต่ก็เศร้าเหมือนกันนะ T^T
วันสุดท้ายก็จะมีพิธีมอบประกาศนียบัตรให้กับนักเรียนที่จบ
เศร้าจัง 【*´⊥‘】
เพื่อนๆมาพร้อมหน้าในงานรับประกาศนียบัตร
.
.
.
โรงเรียนที่ 2 ก็คือ ELS (English Language School) ค่ะ
อย่างที่เคยเขียนใน topic ก่อนๆ ว่าเราสามารถเรียน ELS แลกกับการยื่นคะแนน TOEFL ได้
วันแรกใน ELS ก็คล้ายๆกับ Kaplan ค่ะ
ก็คือมีการสอบวัดระดับกันก่อน แต่ที่นี่ออกแนวจริงจังกว่าที่ Kaplan อยู่ซะหน่อย
ข้อสอบยังเป็น choice สำหรับ listening part / grammar part แต่ก็มีเขียน essay แล้วก็สอบสัมภาษณ์ด้วย
คลาสเรียนที่นี่ จะแบ่งออกเป็น 12 levels ค่ะ
การสอบวัดระดับจะเป็นการจัดเด็กเข้า level 1-9
ส่วน 10-12 จะเป็นคลาสสำหรับคนที่จะต่อป.โท (ที่บอกว่าจะต้องจบ level 12)
1 level จะเรียนกันประมาณ 1 เดือนค่ะ
แล้วก็จะมีสอบวัดผลทุกๆ level ,, ก็จะมีหนักๆที่ level 9 กับ level 12
สอบของ level 9 เรียกว่า SLEP test ,, ย่อมาจากอะไร อันนี้จำไม่ได้แล้ว แหะแหะ
แต่ว่าถ้าผ่าน SLEP ไปได้ .. ก็จะเอาใบประกาศไปใช้แทน TOEFL เรียนระดับปริญญาตรีได้ค่ะ
ส่วน level 12 ก็จะเป็น Michigan test ,, อันนี้ขอบอกเลยว่ายากกกกกกกกกกกกมากกกกกกกกกกกกกก
เป็นข้อสอบที่วัดอะไรไม่รู้ Part Vocab นี่สุ่มคำตอบกันเลยทีเดียว = =’ จะยากไปไหน!!
ส่วนใบประกาศของ Level 12 ก็จะเอาไปแทน TOEFL ในระดับปริญญาโทได้ค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ลูลิก็ผ่านมาได้ด้วยดีค่ะ
ลูลิเรียนที่ ELS อยู่ทั้งหมด 4 เดือน (level 9-12)
ถามว่าได้อะไรมั๊ย.. หลักๆเลยก็คือ ได้เพื่อน ได้พูด ได้เที่ยวค่ะ
ฟังดูเหมือนไร้สาระไปนิดหน่อย แต่ลูลิอยากบอกว่า
ELS เป็นส่วนสำคัญในชีวิตการเรียนที่นี่ของลูลิเลยล่ะค่ะ
กับเพื่อนๆ วันรับประกาศฯ Level 9 (เดาออกมั้ยว่าอาจารย์คนไหน ^^)
กับเพื่อนๆ วันรับประกาศ Level 12 (เหลือกันแค่เนี๊ยะ = =)
Class ของ ELS จะแตกต่างจาก Kaplan ที่มีอ.ประจำชั้นแค่คนเดียว
แต่ที่ ELS จะคล้ายๆกับเรียนมหาลัยค่ะ คือเดินเรียน
วันนึงจะแบ่งเป็นทั้งหมด 7 คาบ คาบละ50 นาที
1 คาบก็ 1 ห้อง 1 อาจารย์… วันๆนึงต้องวิ่งย้ายห้อง ไปจองที่ตั้งหลายรอบ เหนื่อยเชียวล่ะ ><
แต่ก็สนุกดีค่ะ ได้เรียน ได้ฟัง ได้เขียน ได้อ่าน ได้พูด ได้เพื่อน ได้เที่ยว … ครบทุกอย่าง
(ถึงแม้บาง level จะรู้สึกเหมือนไม่ได้อะไรเลยก็ตาม = =’)
4 เดือนผ่านไป ไวมากๆ
แล้วก็ถึงเวลาลงสนามจริง ซักที…..
.
.
.
ครึ่งปีกว่าในมหาลัย ทำให้ลูลิคิดถึงสมัยเรียน ELS อย่างสุดซึ่งเลยล่ะค่ะ
ตอนเรียน ELS ก็จะบ่นกับเพื่อนตลอดว่าการบ้านเยอะ งานหนัก
ไอ้การบ้านที่ว่านี่คือ อ่าน article 2 หน้า อะไรแบบนี้
ถ้าเทียบกับชีวิตมหาลัยนี่… อื้อหือ!!
อ่านวิชาละ 80 หน้า,, ลง 4 วิชา
วีคนึงต้องอ่านหนังสือราวๆ 300 หน้า…..!!! เป็นลม (O.O;)(o,o;)
เอาเป็นว่า ใครคิดว่าจะมาเรียนต่อ โดยไม่ผ่านโรงเรียนภาษามาก่อน
ลูลิขอแนะนำว่า มาเรียนเถอะค่ะ
ช่วงเรียนโรงเรียนภาษา เป็นช่วงที่สนุกที่สุดแล้วล่ะ
แล้วก็ถ้าหากว่าเรียนโรงเรียนภาษาของมหาลัยที่จะเข้าได้ก็ยิ่งดี
เพราะเราจะมีเพื่อนๆจากโรงเรียนภาษามาก่อน
ถึงแม้จะต่างชาติต่างภาษา แต่ว่าเพื่อนกันลำบากมาด้วยกัน จะไม่ทิ้งกันค่ะ
มีเพื่อนหนีบมาเข้ายู อย่างน้อยก็อุ่นใจกว่าไม่มีใคร…. เน๊าะ (^з^)-☆
End..
Recent Comments