,, 10 เมษายน 2553 (ศาลเจ้าเมจิ / Meiji Jingu Shrine / 明治神宮)
หลังจากที่เดินขึ้นเขาลงเนินชมซากุระกันที่สวนอุเอโนะจนอิ่มหนำแล้ว
ก็หันมาเอาใจลูกทัวร์วัยรุ่นของลูลิกันบ้าง ด้วยการเข้าเมืองแหล่งวัยรุ๊นวัยรุ่นอย่างฮาราจุกุ
แต่จุดประสงค์หลักของสองคนนี้อาจจะแปลกๆนิดหน่อย
ไม่ได้อยากจะมาชอปปิ้ง ไม่ได้อยากมาดูวัยรุ่นหนุ่มสาวบ้านเค้า แต่อยากมาดูนารูโตะ!!
ไม่ค่ะ ไม่ใช่นารูโตะไม่ดี.. แต่เพราะไม่เคยมีทีท่าว่าสนใจคอสเพลย์มาก่อน (หรือว่าแอบ =[]=)
น้องสาวนี่พอเข้าใจเพราะบ้าคอสมาแต่ไหนแต่ไร แต่คุณน้องชายนี่..อยู่ๆมาไม้ไหนอยากเจอนารูโตะเนี่ย = =?
วันนี้เป็นวันเสาร์ และฝนไม่ตก ☼ เพราะฉะนั้นเหมาะเป็นอย่างยิ่งที่หนุ่มสาววัยรุ่นจะออกมาแต่งตัวอวดโฉมกัน
หลังจากที่ชาร์ตพลังมาเต็มที่ระหว่างนั่งรถไฟมา (ชาร์ตพลัง=หลับค่ะ ใกล้แค่ไหนก็จะหลับ 555+)
พอรถจอดที่สถานีฮาราจุกุ ทั้ง 3 คนก็พุ่งพรวดออกมาหน้าสถานี แล้วก็ตรงดิ่งไปที่สะพานคอสเพลย์ทันที!!
อ๊ะ..แต่ก่อนอื่น มาดูแผนการเที่ยวย่านนี้ก่อนนิดนึงดีกว่า
JR station → คอสเพลย์ → Meiji shrine → Takeshita dori → Omotesando
→ Kiddy land → ร้านราเมง → JR Station
.
.
เมื่อครั้งที่แล้วที่มา มัวแต่นั่งจิบสตาร์บัคสบายใจเฉิบอยู่ที่ชิบุยะ
พอมาถึงฮาราจุกุก็มัวแต่หลงระเริงอยู่ในทาเคชิตะโดริ ชอปปิ้งจนหมดตัว
พอหลุดออกมาถึงสะพานคอสเพลย์ (ตั้งชื่อเอง แหะแหะ) หนุ่มสาวชาวคอสก็เก็บของกลับบ้านกันหมดแล้ว
ทำเอาน้ำตาไหลท่วม ฮืออออออออออออออ…..
ครั้งนี้ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้มือจากครั้งก่อน
พอออกจากสถานีได้ ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงดรงดิ่งไปที่สะพานคอสเพลย์ก่อนทันที
หลายคนอ่านแล้วอาจจะงง สะพานคอสเพลย์คืออะไร?? (ทำท่าแอ๊บงงแบบสาวญี่ปุ่นประกอบ อา-เร๊?)
จริงๆแล้วเรียกแบบชาวบ้านปกติก็คือสะพานที่ข้ามไปยังทางเข้าศาลเจ้าเมจินั่นล่ะค่ะ
เห็นน้องสาว(ผู้บ้าคอสเพลย์)บอกมาว่า ชาวคอสจะมาอวดโฉมกันตรงนี้
คราวนี้ล่ะ มาแต่หัววัน ไม่มีพลาดอยู่แล้ว!!
แต่…!!
ไหนอ่ะ = =’
ก้มมองเวลาที่ข้อมืออีกที สี่โมง.. มันก็ยังไม่เย็นนี่นา
มองฟ้า.. อากาศก็แจ่มใสขนาดนี้
แต่ทำไมล่ะ คอสเพลย์หายไปไหน =[]=
เลิ่กลั่กกันอยู่ซักพัก ก็ไม่เห็นจะมีคอสเพลย์ที่ไหนผ่านมา
จนกระทั่ง… เจอสาวคอสฝรั่งร่างใหญ่กลุ่มนึงเดินผ่านมา
ลูลิสะกิดน้องสาวจึ๊กๆ “แกเข้าไปขอเค้าถ่ายดิ!!” ว่าแล้วก็คว้ากล้องขึ้นมาเตรียมตัว
แต่แล้วคุณน้องสาวก็สะบัดหน้าไม่ใยดี “ไม่ชอบฝรั่ง”
เฮอะ… คนญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ ยังจะชาตินิยมอีกน้องตู !!!!
ไม่ถ่ายก็ช่าง เอาเป็นว่าศาลเจ้าเมจิอยู่ตรงหน้าเข้าไปเดินเล่นในนั้นเลยละกัน (ถอนหายใจเฮือก ==3)
ก้าวมาถึงหน้าโทริอิไม้อันโต อารมณ์ก็ดีขึ้นมาทันที
นอกจากโทริอิที่ใหญ่โตขนาดที่จะต้องเงยหน้ามองแล้ว
ต้องอมยิ้มให้กับกลุ่มต้นซีดาร์สูงชะลูด ที่สูงกว่าโทริอิอีกเป็นเท่าตัว
กับทางเดินโล่งๆที่เหมือนแหวกเข้าไปในป่าข้างหน้า
คอสเพลย์อาจจะไม่เหมาะกับอายุ แต่เดินชมป่านี่ล่ะใช่เลย ฮี่ๆๆๆๆ ^^
ลูลิจะเล่าไปเรื่อยๆ แต่กลัวคนอ่านจะงง เลยทำแผนที่่มาประกอบให้นะคะ
อาจจะมั่วไปบ้างเพราะไม่แตกฉานด้านภาษาค่ะ 5555+
ศาลเจ้าเมจิ
การเดินทาง :: สถานีฮาราจุกุ เจอาร์ยามาโนเตะ
เปิด-ปิด :: ศาลเจ้า – 9am-4pm ทุกวัน (เดือนมีนา-ตุลาเปิดถึง 4.30pm)
Treasure museum – 9am-4pm เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุด
Nai-en garden – แล้วแต่อารมณ์ (ไม่ได้ล้อเล่นนะหนิ)
.
.
อันที่จริงแล้ว ศาลเจ้าเมจิ มีทางเข้าได้หลายทางเลยค่ะ
ทุกทางต่างก็เป็นทางลัดเลาะกลุ่มต้นซีดาร์เข้ามาทั้งนั้น (แอบเดาเอาจากแผนที่ทางภูมิศาสตร์ ;p)
นอกจากทางที่มาจากสถานีฮาราจุกุที่นักท่องเที่ยวอย่างเราๆคุ้นเคยกันดี
ก็ยังมีทางเข้าหลักอีก 2 ทางค่ะ (อธิบายไม่ถูก ตามแผนที่ละกันโนะ ^^)
แล้วก็ยังแอบมีทางสำหรับจักรพรรดิเวลาท่านมาที่นี่ทางรถไฟอีกด้วยค่ะ
โทริอิอันใหญ่ ประตูรั้วของศาลเจ้าเมจิ
มุมนี้สวยดี เลยหานางแบบ-นายแบบซะหน่อย
สัญลักษณ์ดอกไม้ที่อยู่บนโทริอิ เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์เมจิค่ะ
เทียบขนาดเสาให้ดูเห็นๆ
ทางเดินกรวดอัด กว้าง สะอาด แต่เดินยาก+มีฝุ่นนี๊ดๆ (ให้ความรู้สึกเข้าวัดดี ^^)
ทางเข้า Nai-en garden ที่บอกว่าเปิดตามอารมณ์ค่ะ
วันที่ลูลิไปก็ปิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Nai-en garden เป็นสวนที่จักรพรรดิเมจิทรงออกแบบด้วยตัวเอง เพื่อมอบให้จักรพรรดินีของพระองค์ค่ะ
ด้านในก็จะมีศาลาจิบน้ำชาอยู่ใกล้ๆกับบ่อน้ำ แหมมม..โรแมนติกจริงจรี๊งง >///<
น่าเสียดายที่กว่าจะเดินมาถึงตรงนี้ สวนก็ปิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เลยไม่มีโอกาสเข้าไปสัมผัสเลยว่า โรแมนติกแค่ไหนกัน~
(จะว่าไป ค่าเข้าชม 500เยนนี่ ลูลิจะเข้าจริงเหรอ 555+)
เลยขึ้นไปทางเหนือของ Nai-en garden ก็จะมีทางเดินเชื่อมไป Minami-ike Shobuda
หรือแปลออกมาเป็นไทยได้ว่า “สวนไอริส”
เค้าว่ากันว่าจะออกดอกสพรั่งในช่วงเดือนมิถุนายน ใครได้แวะไปอย่าลืมเก็บภาพมาฝากนะคะ ^^
ตรงข้ามกับทางเข้าของ Nai-en garden ก็จะเป็นกลุ่มอาคารสมัยใหม่
ประกอบไปด้วยร้านอาหาร แล้วก็พิพิธภัณฑ์ต่างๆ
ส่วนมากก็จะเป็นอาคารชั้นเดียว ซุกอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ เพื่อไม่ให้เด่นเกินพระเอกอย่างโทริอิค่ะ
ถัดมาไม่ไกล ก็จะเจอกับถังสาเกเรียงกันเป็นแพ…
ตอนแรกมองมาไกลๆ นึกว่าประกวดโคมซะอีก
ลวดลายแต่ละถังให้อารมณ์ของความเป็นญี่ปุ่นมากเลย
เห็นนักท่องเที่ยวหลายคน หยุดยืนถ่ายรูปถังสาเกกันใหญ่
ลูลิก็เลยคว้ากล้องมาถ่ายบ้าง (เดี๋ยวเค้าไม่รู้ว่าเราก็เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกั๊นนน >/////<)
แต่เอ๊ะ.. ไม่รู้ว่าเอาสาเกมาถวายนี่ จะเพราะว่ามีเทพอินาริเหมือนกับศาลเจ้าก่อนๆรึเปล่านะ?!?
ถังสาเกเรียงกันเยอะมากกกกกกกกกกกกกก
เจอทางแยก เลี้ยวขวาเจอต้นไม้ เลี้ยวซ้ายเจอโทริอิ
ผ่านเข้ามาเจอโทริอิอีกอันตั้งตระหง่านตรงทางแยกพอดี
เหมือนจะบอกให้รู้ว่า “ทางนี้นะจ๊ะ”
ห้องน้ำค่ะ ซุกอยู่ในพุ่มไม้ ไม่สกปรกมาก แต่กลิ่นนี่สูสีกับปั๊มน้ำมันบ้านเราเลยล่ะ >~<*
.
.
เดินต่อมาอีกหน่อย ก็จะเจอโทริอิอันที่ 3 นั่นก็แปลว่า มาถึงศาลเจ้าเมจิแล้วล่ะค่ะ
ด้านหลังของโทริอิ(ที่ดูเหมือนจะเล็กที่สุด)อันนี้ มีประตูทางเข้าศาลเจ้าอยู่
มีชื่อว่า Minami Shimon ค่ะ
ทางซ้ายมือของ Minami Shimon จะเป็นศาลาที่มีบ่อน้ำเล็กๆ
ให้คนทั่วไปได้ตักน้ำมาล้างมือ ล้างหน้า บ้วนปาก ชำระจิตใจ
ก่อนที่จะเข้าไปในศาลเจ้าเหมือนกับศาลเจ้าอื่นๆทู๊กกกกกกกกประการ
ส่วนทางขวามือเป็นศาลาสำหรับจำหน่ายของมงคลทั้งหลาย ทั้งเครื่องราง ป้ายไม้ ตุ๊กตา
มีไมโกะสาววัยรุ่นนั่งเป็นพนักงานขายอยู่ด้วย
ที่กะบะของเครื่องรางแต่ละแบบ ก็จะมีเขียนภาษาอังกฤษแปะเอาไว้ให้ค่ะ
อันนี้ทำอะไร อันนี้ทำอะไร ก็สะดวกแก่นักท่องเที่ยวดีเหมือนกัน
ส่วนลูลิก็เหมือนเดิมค่ะ ด้อมๆมองๆ แล้วก็เดินจากไป 5555+
ถึงแว้วววว เดินซะเหงื่อแตก -*-
ประตู Minami Shimon
ล้างไม้ล้างมือ บ้วนปาก ชำระล้างจิตใจก่อนจะเข้าศาลเจ้า
ไมโกะก้มหน้าก้มตาทำของมงคล
มาถึงนี่ ใครๆเค้าก็หาซื้อเครื่องรางกัน (อย่างน้องก็ได้เป็นของฝากชิมิล่า)
ตุ๊กตานี่ก็เป็นหนึ่งในเครื่องรางของเค้า มีอธิบายว่าใช้ทำอะไรเป็นภาษาญี่ปุ่น
แต่ว่าไม่ได้อธิบายเป็นภาษาอังกฤษไว้ค่ะ
Minami Shimon จะเข้าไปละน๊าาาาาาาาา~~
.
.
ก้าวข้าม Minami Shimon มา ก็จะเจอกับคอร์ทขนาดใหญ่ ปูด้วยหินอย่างเรียบร้อย
ซ้ายขวาหน้าหลัง ก็ถูกโอบล้อมด้วยรั้ว และประตูที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน
ทำให้จุดสนใจเลยต้องตกไปอยู่ที่ต้นไม้ต้นนึงค่ะ
ต้นไม้นี่ก็ใหญ่โตมโหฬารเหมือนกัน ด้านล่างถูกล้อมเอาไว้ด้วยป้ายขอพรเต็มเอี้ยด!!
เดินเข้าไปดูใกล้ๆ มีของคนไทยเยอะแยะเต็มไปหมด (เป็นหลักฐานว่าชาวไทยมาเสียดุลที่นี่เยอะจริงๆ ><)
ยืนอ่านคำอวยพรของคนอื่นก็สนุกดี หลายคนเขียนชื่อนามสกุลอายุเอาไว้หมดเลยด้วย
พอเห็นคนอื่นเค้าฝากรอยจารึก(แบบถูกกฎหมายไว้) ไอ้เราก็เลยนึกอยากจะเขียนบ้าง
มองซ้าย มองขวา… อ่า ประตูขวานั่นไง มีร้านขายอยู่ตรงนั้น
จ่ายไป 500 เยน แล้วก็ได้ป้ายไม้มา 1 อัน
จัดการเขียนลงไปซะ 3 คนเลย (ประหยัด ><)
ต้นไม้ต้นนี้ ฟอร์มสวยมากๆ ดูแล้วสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
ซูมเข้าไปดูใต้ต้นไม้หน่อยซิ มีอะไรอยู่หนอ?
แต่ละชั้นเกี่ยวกันจนล้นบวมขึ้นมาแบบนี้ ดูแล้วก็อาร์ตไปอีกแบบเนอะ
(จริงๆแล้วถ่ายป้ายภาษาไทยมาเยอะเลย เขียนน่ารักดี แต่ไม่ออกอากาศละกันเนอะ เด๋วเจ้าของมาเจอ 555+)
ส่วนนี่ของเรา 3 คนค่ะ ,, เหมือนได้มีส่วนร่วม มีความสุขจัง ><
Minami Shimon จากใต้ต้นไม้
จากศาลเจ้าหลัก มองกลับไปที่ Minami Shimon
.
.
ศาลเจ้าเมจิ ถือว่าเป็นศาลเจ้าชินโตที่สำคัญที่สุดในโตเกียวเลยค่ะ
ในช่วงปีใหม่ จะมีผู้คนเดินทางมาขอพรที่่นี่มากกว่า 3ล้านคนเชียวนะคะ
ลองนึกภาพตาม ไอ้ลานโล่งๆที่เห็นนี่ ยัดเข้าไป 3 ล้านคน คงอัดแน่นเป็นปลากระป๋องแน่ๆ -*-
ศาลเจ้าเมจิสร้างขึ้นในปี 1920 ค่ะ ถึงแม้ว่าในปี 1945 ของเดิมจะถูกทำลายไปจากการทิ้งบอมบ์ของฝ่ายพันธมิตร
แต่ก็ได้สร้างใหม่ขึ้นมาทดแทนด้วยเงินส่วนพระองค์ในปี 1958 ค่ะ
สถาปัตยกรรมของศาลเจ้าเมจิ จะเป็นอาคารทำจากไม้สีน้ำตาลเข้ม
หลังคาทรงโค้งทำจากสังกะสี (Copper) ที่ถูกออกซิไดซ์จนกลายเป็นสีเขียวสวยงาม ><
เป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้ในการออกแบบศาลเจ้าหลวงของชินโตเท่านั้น
เรียกกันว่า.. Shimmei
จากคอร์ทที่มีต้นไม้กับป้ายอวยพร
ถ้ามองตรงไปจาก Minami Shimon ก็จะเจอกับ Gehaiden ซึ่งเป็นประตูหลักอีกหลัง
ทำหน้าที่เชื่อมต่อไปยังศาลเจ้าหลัก..
ศาลเจ้าหลักกับ Gehaiden อยู่ติดกันมากๆค่ะ เค้าก็เลยใช้ Gehaiden เป็นที่ยืนไหว้ซะเลย
มองลึกเข้าไปในศาลเจ้าไม่ค่อยเห็นอะไร (เพราะมืด) เลยรู้สึกว่ายืนไหว้อาคารศาลเจ้าแทนซะงั้น 5555+
ไหว้พระแบบญี่ปุ่น ต้องตบมือเปาะแปะด้วย
ซ้ายและขวา เป็นซุ้มเชื่อมต่อไปยังพื้นที่จัดพิธี
.
.
ไหว้เจ้าแล้ว ก็มาเดินทัวร์กันต่อ..
เห็นทางซ้ายขวา มีซุ้มประตูให้เข้า ก็เลยเข้าไปเดินดูเล่น
พอเดินเข้ามา ต้องตกละลึงอยากจะร้องกรี๊ดขึ้นมาทันทีทันใด!!
นั่น นั่น นั่น…. เจ้าสาว นี่!!
พิธีแต่งงานแบบญี่ปุ่นโบราณ ที่เค้าว่ากันว่านิยามมาจัดที่ศาลเจ้าเมจิกัน
ได้เห็นของจริงโดยไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า โชคดีจังเลย (ลืมเรื่องคอสเพลย์ไปในบัดดล ><)
ทุกคนแต่งตัวดูย้อนยุคมากๆ ออกมาตั้งขบวนให้ช่างภาพ(ของเค้า)ถ่าย
แต่ไม่รู้เป็นไงมาไง ลูลิก็วิ่งไปขอถ่ายกับเค้าด้วยคน
ยืนซะตรงกลางราวกับว่าเป็นกล้อง Official !!
เจ้าบ่าว-เจ้าสาวมองกล้องด้วย คงจะงงว่า “เอ๊ะ..ใครจ้างตากล้องมาเพิ่มให้เหรอเนี่ย” 5555
คุณลุง คุณป้า (หรือพ่อแม่บ่าวสาว = =’) ออกมาตั้งแถวต้อนรับก่อน
แอบสารภาพว่า ตอนแรกนึกว่างานศพ เพราะทุกคนใส่ชุดดำง่ะ T^T
บ่าว-สาว มาโพสท่าถ่ายรูปหน้าเรื่อนพิธี
มุมล่างซ้ายนี่ล่ะกล้อง Official ของเค้าค่ะ แต่เหตุไฉนลูลิยังอยู่กลางกว่าอีก 55555+
นักท่องเที่ยวคนอื่นๆแหวกที่ให้ลูลิเข้าไปถ่ายเป็นวงเลย คิดว่าเราเป็นตากล้องจริงๆเหรอนั่น – –
ถ่ายรูปเสร็จก็เดินขบวนไปประกอบพิธีฝั่งนู้น
ดูเป็นงานแห่อะไรซักอย่าง นักท่องเที่ยวมาเข้าคิวดูหยั่งกับรอดูถ่ายหนังเลย
คนนี้ไม่ใช่เจ้าสาว… แค่อยากโชว์ว่าตรงนี้มีตรายางให้ปั๊มเล่นด้วย!!
นี่ก็ไม่ใช่ญาติของบ่าว-สาว คู่มะกี๊ แต่มีพิธีอะไรซักอย่างเหมือนกันค่ะ
น้องสาวบอกว่าใส่ฟุริโซเดะ เหมือนกับพิธีบรรลุนิติภาวะเลย (แต่ดูจากหน้าแล้ว ไม่น่าจะเพิ่ง 20 ละนะ -*-)
ก่อนจะกลับ ก็โชคดีจริงๆ ได้เจอพิธีอีกคู่นึง
กำลังเดินขบวนย้ายจากเรือนพิธีทางซ้ายมาทางขวา (คู่เมื่อกี๊เดินจากขวาไปซ้าย)
คู่นี้น่ารักม๊ากกกกกกกกก (เจ้าบ่าวอะนะ >//////<)
เจ้าบ่าวแลดูเป็นห่วงเจ้าสาวมาก เวลาเดินก็จะคอยประคองเอวแล้วก็มองด้วยสายตาอ่อนโยน
จริงๆน๊า ไม่ได้จิ้นไปเองจริงจรี๊งงงงงง~~~
ยังไม่ค่อยเข้าใจของการผูกเชื่อกแบบนี้ แต่เห็นแล้วให้ความรู้สึกว่าญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นเนอะ ♥
เดินดูจนรอบแล้ว ซอกเล็กมุมน้อยก็มุดเข้าไปหมด
เอาเป็นว่า Stage clear!! (รู้สึกเหมือนว่ากำลังเล่นเกม -*-)
พระอาทิตย์ใกล้ลับของฟ้าแล้ว เรารีบไปเดินเล่น Takeshita dori ก่อนที่จะมืดจนถ่ายรูปไม่เห็นดีกว่า
(แต่เดินกลับอีกครึ่งชั่วโมง สงสัยตะวันลับฟ้าพอดี T^T)
แชะสุดท้ายกับ Minami Shimon
To be continue…
Recent Comments