Follow my soul ,, ♥

เขียนไปเท่าที่ใจอยาก

► Nippon’10 Day02-3 :: กาลครั้งหนึ่งที่ศาลเจ้าเมจิ กับพิธีแต่งงานในฝัน April 28, 2010

,, 10 เมษายน 2553 (ศาลเจ้าเมจิ / Meiji Jingu Shrine / 明治神宮)

หลังจากที่เดินขึ้นเขาลงเนินชมซากุระกันที่สวนอุเอโนะจนอิ่มหนำแล้ว
ก็หันมาเอาใจลูกทัวร์วัยรุ่นของลูลิกันบ้าง ด้วยการเข้าเมืองแหล่งวัยรุ๊นวัยรุ่นอย่างฮาราจุกุ
แต่จุดประสงค์หลักของสองคนนี้อาจจะแปลกๆนิดหน่อย
ไม่ได้อยากจะมาชอปปิ้ง ไม่ได้อยากมาดูวัยรุ่นหนุ่มสาวบ้านเค้า แต่อยากมาดูนารูโตะ!!
ไม่ค่ะ ไม่ใช่นารูโตะไม่ดี.. แต่เพราะไม่เคยมีทีท่าว่าสนใจคอสเพลย์มาก่อน (หรือว่าแอบ =[]=)
น้องสาวนี่พอเข้าใจเพราะบ้าคอสมาแต่ไหนแต่ไร แต่คุณน้องชายนี่..อยู่ๆมาไม้ไหนอยากเจอนารูโตะเนี่ย = =?

วันนี้เป็นวันเสาร์ และฝนไม่ตก ☼ เพราะฉะนั้นเหมาะเป็นอย่างยิ่งที่หนุ่มสาววัยรุ่นจะออกมาแต่งตัวอวดโฉมกัน
หลังจากที่ชาร์ตพลังมาเต็มที่ระหว่างนั่งรถไฟมา (ชาร์ตพลัง=หลับค่ะ ใกล้แค่ไหนก็จะหลับ 555+)
พอรถจอดที่สถานีฮาราจุกุ ทั้ง 3 คนก็พุ่งพรวดออกมาหน้าสถานี แล้วก็ตรงดิ่งไปที่สะพานคอสเพลย์ทันที!!

อ๊ะ..แต่ก่อนอื่น มาดูแผนการเที่ยวย่านนี้ก่อนนิดนึงดีกว่า
JR station → คอสเพลย์ → Meiji shrine → Takeshita dori → Omotesando
→ Kiddy land → ร้านราเมง → JR Station

Photobucket

.

.

เมื่อครั้งที่แล้วที่มา มัวแต่นั่งจิบสตาร์บัคสบายใจเฉิบอยู่ที่ชิบุยะ
พอมาถึงฮาราจุกุก็มัวแต่หลงระเริงอยู่ในทาเคชิตะโดริ ชอปปิ้งจนหมดตัว
พอหลุดออกมาถึงสะพานคอสเพลย์ (ตั้งชื่อเอง แหะแหะ) หนุ่มสาวชาวคอสก็เก็บของกลับบ้านกันหมดแล้ว
ทำเอาน้ำตาไหลท่วม ฮืออออออออออออออ…..

ครั้งนี้ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้มือจากครั้งก่อน
พอออกจากสถานีได้ ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงดรงดิ่งไปที่สะพานคอสเพลย์ก่อนทันที
หลายคนอ่านแล้วอาจจะงง สะพานคอสเพลย์คืออะไร?? (ทำท่าแอ๊บงงแบบสาวญี่ปุ่นประกอบ อา-เร๊?)
จริงๆแล้วเรียกแบบชาวบ้านปกติก็คือสะพานที่ข้ามไปยังทางเข้าศาลเจ้าเมจินั่นล่ะค่ะ
เห็นน้องสาว(ผู้บ้าคอสเพลย์)บอกมาว่า ชาวคอสจะมาอวดโฉมกันตรงนี้
คราวนี้ล่ะ มาแต่หัววัน ไม่มีพลาดอยู่แล้ว!!

แต่…!!

ไหนอ่ะ = =’

ก้มมองเวลาที่ข้อมืออีกที สี่โมง.. มันก็ยังไม่เย็นนี่นา
มองฟ้า.. อากาศก็แจ่มใสขนาดนี้
แต่ทำไมล่ะ คอสเพลย์หายไปไหน =[]=
เลิ่กลั่กกันอยู่ซักพัก ก็ไม่เห็นจะมีคอสเพลย์ที่ไหนผ่านมา
จนกระทั่ง… เจอสาวคอสฝรั่งร่างใหญ่กลุ่มนึงเดินผ่านมา
ลูลิสะกิดน้องสาวจึ๊กๆ “แกเข้าไปขอเค้าถ่ายดิ!!” ว่าแล้วก็คว้ากล้องขึ้นมาเตรียมตัว
แต่แล้วคุณน้องสาวก็สะบัดหน้าไม่ใยดี “ไม่ชอบฝรั่ง”
เฮอะ… คนญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ ยังจะชาตินิยมอีกน้องตู !!!!
ไม่ถ่ายก็ช่าง เอาเป็นว่าศาลเจ้าเมจิอยู่ตรงหน้าเข้าไปเดินเล่นในนั้นเลยละกัน (ถอนหายใจเฮือก ==3)

ก้าวมาถึงหน้าโทริอิไม้อันโต อารมณ์ก็ดีขึ้นมาทันที
นอกจากโทริอิที่ใหญ่โตขนาดที่จะต้องเงยหน้ามองแล้ว
ต้องอมยิ้มให้กับกลุ่มต้นซีดาร์สูงชะลูด ที่สูงกว่าโทริอิอีกเป็นเท่าตัว
กับทางเดินโล่งๆที่เหมือนแหวกเข้าไปในป่าข้างหน้า
คอสเพลย์อาจจะไม่เหมาะกับอายุ แต่เดินชมป่านี่ล่ะใช่เลย ฮี่ๆๆๆๆ ^^

ลูลิจะเล่าไปเรื่อยๆ แต่กลัวคนอ่านจะงง เลยทำแผนที่่มาประกอบให้นะคะ
อาจจะมั่วไปบ้างเพราะไม่แตกฉานด้านภาษาค่ะ 5555+

ศาลเจ้าเมจิ
การเดินทาง :: สถานีฮาราจุกุ เจอาร์ยามาโนเตะ
เปิด-ปิด :: ศาลเจ้า – 9am-4pm ทุกวัน (เดือนมีนา-ตุลาเปิดถึง 4.30pm)
Treasure museum – 9am-4pm เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุด
Nai-en garden – แล้วแต่อารมณ์ (ไม่ได้ล้อเล่นนะหนิ)

.

.

อันที่จริงแล้ว ศาลเจ้าเมจิ มีทางเข้าได้หลายทางเลยค่ะ
ทุกทางต่างก็เป็นทางลัดเลาะกลุ่มต้นซีดาร์เข้ามาทั้งนั้น (แอบเดาเอาจากแผนที่ทางภูมิศาสตร์ ;p)
นอกจากทางที่มาจากสถานีฮาราจุกุที่นักท่องเที่ยวอย่างเราๆคุ้นเคยกันดี
ก็ยังมีทางเข้าหลักอีก 2 ทางค่ะ (อธิบายไม่ถูก ตามแผนที่ละกันโนะ ^^)
แล้วก็ยังแอบมีทางสำหรับจักรพรรดิเวลาท่านมาที่นี่ทางรถไฟอีกด้วยค่ะ


โทริอิอันใหญ่ ประตูรั้วของศาลเจ้าเมจิ


มุมนี้สวยดี เลยหานางแบบ-นายแบบซะหน่อย


สัญลักษณ์ดอกไม้ที่อยู่บนโทริอิ เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์เมจิค่ะ


เทียบขนาดเสาให้ดูเห็นๆ


ทางเดินกรวดอัด กว้าง สะอาด แต่เดินยาก+มีฝุ่นนี๊ดๆ (ให้ความรู้สึกเข้าวัดดี ^^)


ทางเข้า Nai-en garden ที่บอกว่าเปิดตามอารมณ์ค่ะ
วันที่ลูลิไปก็ปิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Nai-en garden เป็นสวนที่จักรพรรดิเมจิทรงออกแบบด้วยตัวเอง เพื่อมอบให้จักรพรรดินีของพระองค์ค่ะ
ด้านในก็จะมีศาลาจิบน้ำชาอยู่ใกล้ๆกับบ่อน้ำ แหมมม..โรแมนติกจริงจรี๊งง >///<
น่าเสียดายที่กว่าจะเดินมาถึงตรงนี้ สวนก็ปิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เลยไม่มีโอกาสเข้าไปสัมผัสเลยว่า โรแมนติกแค่ไหนกัน~
(จะว่าไป ค่าเข้าชม 500เยนนี่ ลูลิจะเข้าจริงเหรอ 555+)

เลยขึ้นไปทางเหนือของ Nai-en garden ก็จะมีทางเดินเชื่อมไป Minami-ike Shobuda
หรือแปลออกมาเป็นไทยได้ว่า “สวนไอริส”
เค้าว่ากันว่าจะออกดอกสพรั่งในช่วงเดือนมิถุนายน ใครได้แวะไปอย่าลืมเก็บภาพมาฝากนะคะ ^^

ตรงข้ามกับทางเข้าของ Nai-en garden ก็จะเป็นกลุ่มอาคารสมัยใหม่
ประกอบไปด้วยร้านอาหาร แล้วก็พิพิธภัณฑ์ต่างๆ
ส่วนมากก็จะเป็นอาคารชั้นเดียว ซุกอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ เพื่อไม่ให้เด่นเกินพระเอกอย่างโทริอิค่ะ

ถัดมาไม่ไกล ก็จะเจอกับถังสาเกเรียงกันเป็นแพ…
ตอนแรกมองมาไกลๆ นึกว่าประกวดโคมซะอีก
ลวดลายแต่ละถังให้อารมณ์ของความเป็นญี่ปุ่นมากเลย
เห็นนักท่องเที่ยวหลายคน หยุดยืนถ่ายรูปถังสาเกกันใหญ่
ลูลิก็เลยคว้ากล้องมาถ่ายบ้าง (เดี๋ยวเค้าไม่รู้ว่าเราก็เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกั๊นนน >/////<)
แต่เอ๊ะ.. ไม่รู้ว่าเอาสาเกมาถวายนี่ จะเพราะว่ามีเทพอินาริเหมือนกับศาลเจ้าก่อนๆรึเปล่านะ?!?


ถังสาเกเรียงกันเยอะมากกกกกกกกกกกกกก


เจอทางแยก เลี้ยวขวาเจอต้นไม้ เลี้ยวซ้ายเจอโทริอิ


ผ่านเข้ามาเจอโทริอิอีกอันตั้งตระหง่านตรงทางแยกพอดี
เหมือนจะบอกให้รู้ว่า “ทางนี้นะจ๊ะ”


ห้องน้ำค่ะ ซุกอยู่ในพุ่มไม้ ไม่สกปรกมาก แต่กลิ่นนี่สูสีกับปั๊มน้ำมันบ้านเราเลยล่ะ  >~<*

.

.

เดินต่อมาอีกหน่อย ก็จะเจอโทริอิอันที่ 3 นั่นก็แปลว่า มาถึงศาลเจ้าเมจิแล้วล่ะค่ะ
ด้านหลังของโทริอิ(ที่ดูเหมือนจะเล็กที่สุด)อันนี้ มีประตูทางเข้าศาลเจ้าอยู่
มีชื่อว่า Minami Shimon ค่ะ

ทางซ้ายมือของ Minami Shimon จะเป็นศาลาที่มีบ่อน้ำเล็กๆ
ให้คนทั่วไปได้ตักน้ำมาล้างมือ ล้างหน้า บ้วนปาก ชำระจิตใจ
ก่อนที่จะเข้าไปในศาลเจ้าเหมือนกับศาลเจ้าอื่นๆทู๊กกกกกกกกประการ

ส่วนทางขวามือเป็นศาลาสำหรับจำหน่ายของมงคลทั้งหลาย ทั้งเครื่องราง ป้ายไม้ ตุ๊กตา
มีไมโกะสาววัยรุ่นนั่งเป็นพนักงานขายอยู่ด้วย
ที่กะบะของเครื่องรางแต่ละแบบ ก็จะมีเขียนภาษาอังกฤษแปะเอาไว้ให้ค่ะ
อันนี้ทำอะไร อันนี้ทำอะไร ก็สะดวกแก่นักท่องเที่ยวดีเหมือนกัน
ส่วนลูลิก็เหมือนเดิมค่ะ ด้อมๆมองๆ แล้วก็เดินจากไป 5555+


ถึงแว้วววว เดินซะเหงื่อแตก -*-


ประตู Minami Shimon


ล้างไม้ล้างมือ บ้วนปาก ชำระล้างจิตใจก่อนจะเข้าศาลเจ้า


ไมโกะก้มหน้าก้มตาทำของมงคล


มาถึงนี่ ใครๆเค้าก็หาซื้อเครื่องรางกัน (อย่างน้องก็ได้เป็นของฝากชิมิล่า)


ตุ๊กตานี่ก็เป็นหนึ่งในเครื่องรางของเค้า มีอธิบายว่าใช้ทำอะไรเป็นภาษาญี่ปุ่น
แต่ว่าไม่ได้อธิบายเป็นภาษาอังกฤษไว้ค่ะ


Minami Shimon จะเข้าไปละน๊าาาาาาาาา~~

.

.

ก้าวข้าม Minami Shimon มา ก็จะเจอกับคอร์ทขนาดใหญ่ ปูด้วยหินอย่างเรียบร้อย
ซ้ายขวาหน้าหลัง ก็ถูกโอบล้อมด้วยรั้ว และประตูที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน
ทำให้จุดสนใจเลยต้องตกไปอยู่ที่ต้นไม้ต้นนึงค่ะ
ต้นไม้นี่ก็ใหญ่โตมโหฬารเหมือนกัน ด้านล่างถูกล้อมเอาไว้ด้วยป้ายขอพรเต็มเอี้ยด!!
เดินเข้าไปดูใกล้ๆ มีของคนไทยเยอะแยะเต็มไปหมด (เป็นหลักฐานว่าชาวไทยมาเสียดุลที่นี่เยอะจริงๆ ><)
ยืนอ่านคำอวยพรของคนอื่นก็สนุกดี หลายคนเขียนชื่อนามสกุลอายุเอาไว้หมดเลยด้วย

พอเห็นคนอื่นเค้าฝากรอยจารึก(แบบถูกกฎหมายไว้) ไอ้เราก็เลยนึกอยากจะเขียนบ้าง
มองซ้าย มองขวา… อ่า ประตูขวานั่นไง มีร้านขายอยู่ตรงนั้น
จ่ายไป 500 เยน แล้วก็ได้ป้ายไม้มา 1 อัน
จัดการเขียนลงไปซะ 3 คนเลย (ประหยัด ><)


ต้นไม้ต้นนี้ ฟอร์มสวยมากๆ ดูแล้วสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก


ซูมเข้าไปดูใต้ต้นไม้หน่อยซิ มีอะไรอยู่หนอ?


แต่ละชั้นเกี่ยวกันจนล้นบวมขึ้นมาแบบนี้ ดูแล้วก็อาร์ตไปอีกแบบเนอะ
(จริงๆแล้วถ่ายป้ายภาษาไทยมาเยอะเลย เขียนน่ารักดี แต่ไม่ออกอากาศละกันเนอะ เด๋วเจ้าของมาเจอ 555+)


ส่วนนี่ของเรา 3 คนค่ะ ,, เหมือนได้มีส่วนร่วม มีความสุขจัง ><


Minami Shimon จากใต้ต้นไม้


จากศาลเจ้าหลัก มองกลับไปที่ Minami Shimon

.

.

ศาลเจ้าเมจิ ถือว่าเป็นศาลเจ้าชินโตที่สำคัญที่สุดในโตเกียวเลยค่ะ
ในช่วงปีใหม่ จะมีผู้คนเดินทางมาขอพรที่่นี่มากกว่า 3ล้านคนเชียวนะคะ
ลองนึกภาพตาม ไอ้ลานโล่งๆที่เห็นนี่ ยัดเข้าไป 3 ล้านคน คงอัดแน่นเป็นปลากระป๋องแน่ๆ -*-

ศาลเจ้าเมจิสร้างขึ้นในปี 1920 ค่ะ ถึงแม้ว่าในปี 1945 ของเดิมจะถูกทำลายไปจากการทิ้งบอมบ์ของฝ่ายพันธมิตร
แต่ก็ได้สร้างใหม่ขึ้นมาทดแทนด้วยเงินส่วนพระองค์ในปี 1958 ค่ะ
สถาปัตยกรรมของศาลเจ้าเมจิ จะเป็นอาคารทำจากไม้สีน้ำตาลเข้ม
หลังคาทรงโค้งทำจากสังกะสี (Copper) ที่ถูกออกซิไดซ์จนกลายเป็นสีเขียวสวยงาม ><
เป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้ในการออกแบบศาลเจ้าหลวงของชินโตเท่านั้น
เรียกกันว่า.. Shimmei

จากคอร์ทที่มีต้นไม้กับป้ายอวยพร
ถ้ามองตรงไปจาก Minami Shimon ก็จะเจอกับ Gehaiden ซึ่งเป็นประตูหลักอีกหลัง
ทำหน้าที่เชื่อมต่อไปยังศาลเจ้าหลัก..
ศาลเจ้าหลักกับ Gehaiden อยู่ติดกันมากๆค่ะ เค้าก็เลยใช้ Gehaiden เป็นที่ยืนไหว้ซะเลย
มองลึกเข้าไปในศาลเจ้าไม่ค่อยเห็นอะไร (เพราะมืด) เลยรู้สึกว่ายืนไหว้อาคารศาลเจ้าแทนซะงั้น 5555+


ไหว้พระแบบญี่ปุ่น ต้องตบมือเปาะแปะด้วย


ซ้ายและขวา เป็นซุ้มเชื่อมต่อไปยังพื้นที่จัดพิธี

.

.

ไหว้เจ้าแล้ว ก็มาเดินทัวร์กันต่อ..
เห็นทางซ้ายขวา มีซุ้มประตูให้เข้า ก็เลยเข้าไปเดินดูเล่น
พอเดินเข้ามา ต้องตกละลึงอยากจะร้องกรี๊ดขึ้นมาทันทีทันใด!!

นั่น นั่น นั่น…. เจ้าสาว นี่!!

พิธีแต่งงานแบบญี่ปุ่นโบราณ ที่เค้าว่ากันว่านิยามมาจัดที่ศาลเจ้าเมจิกัน
ได้เห็นของจริงโดยไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า โชคดีจังเลย (ลืมเรื่องคอสเพลย์ไปในบัดดล ><)
ทุกคนแต่งตัวดูย้อนยุคมากๆ ออกมาตั้งขบวนให้ช่างภาพ(ของเค้า)ถ่าย
แต่ไม่รู้เป็นไงมาไง ลูลิก็วิ่งไปขอถ่ายกับเค้าด้วยคน
ยืนซะตรงกลางราวกับว่าเป็นกล้อง Official !!
เจ้าบ่าว-เจ้าสาวมองกล้องด้วย คงจะงงว่า “เอ๊ะ..ใครจ้างตากล้องมาเพิ่มให้เหรอเนี่ย” 5555


คุณลุง คุณป้า (หรือพ่อแม่บ่าวสาว = =’) ออกมาตั้งแถวต้อนรับก่อน
แอบสารภาพว่า ตอนแรกนึกว่างานศพ เพราะทุกคนใส่ชุดดำง่ะ T^T


บ่าว-สาว มาโพสท่าถ่ายรูปหน้าเรื่อนพิธี
มุมล่างซ้ายนี่ล่ะกล้อง Official ของเค้าค่ะ แต่เหตุไฉนลูลิยังอยู่กลางกว่าอีก 55555+
นักท่องเที่ยวคนอื่นๆแหวกที่ให้ลูลิเข้าไปถ่ายเป็นวงเลย คิดว่าเราเป็นตากล้องจริงๆเหรอนั่น – –


ถ่ายรูปเสร็จก็เดินขบวนไปประกอบพิธีฝั่งนู้น


ดูเป็นงานแห่อะไรซักอย่าง นักท่องเที่ยวมาเข้าคิวดูหยั่งกับรอดูถ่ายหนังเลย


คนนี้ไม่ใช่เจ้าสาว… แค่อยากโชว์ว่าตรงนี้มีตรายางให้ปั๊มเล่นด้วย!!


นี่ก็ไม่ใช่ญาติของบ่าว-สาว คู่มะกี๊ แต่มีพิธีอะไรซักอย่างเหมือนกันค่ะ
น้องสาวบอกว่าใส่ฟุริโซเดะ เหมือนกับพิธีบรรลุนิติภาวะเลย (แต่ดูจากหน้าแล้ว ไม่น่าจะเพิ่ง 20 ละนะ -*-)


ก่อนจะกลับ ก็โชคดีจริงๆ ได้เจอพิธีอีกคู่นึง
กำลังเดินขบวนย้ายจากเรือนพิธีทางซ้ายมาทางขวา (คู่เมื่อกี๊เดินจากขวาไปซ้าย)


คู่นี้น่ารักม๊ากกกกกกกกก (เจ้าบ่าวอะนะ >//////<)
เจ้าบ่าวแลดูเป็นห่วงเจ้าสาวมาก เวลาเดินก็จะคอยประคองเอวแล้วก็มองด้วยสายตาอ่อนโยน
จริงๆน๊า ไม่ได้จิ้นไปเองจริงจรี๊งงงงงง~~~


ยังไม่ค่อยเข้าใจของการผูกเชื่อกแบบนี้ แต่เห็นแล้วให้ความรู้สึกว่าญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นเนอะ ♥

เดินดูจนรอบแล้ว ซอกเล็กมุมน้อยก็มุดเข้าไปหมด
เอาเป็นว่า Stage clear!! (รู้สึกเหมือนว่ากำลังเล่นเกม -*-)
พระอาทิตย์ใกล้ลับของฟ้าแล้ว เรารีบไปเดินเล่น Takeshita dori ก่อนที่จะมืดจนถ่ายรูปไม่เห็นดีกว่า
(แต่เดินกลับอีกครึ่งชั่วโมง สงสัยตะวันลับฟ้าพอดี T^T)


แชะสุดท้ายกับ Minami Shimon

To be continue…

 

► Nippon’10 Day02-2 :: ลูลิก็ไปฮานามิที่อุเอโนะเหมือนกั๊น!! April 26, 2010

,, 10 เมษายน 2553 (อุเอโนะ / Ueno / 上野)

หลังจากที่เสียเวลาต่อสู้กับเจ้าตู้รับฝากกระเป๋า (เรียกหรูๆหน่อยก็ลอกเกอร์ = =’)
จนสุดท้ายสู้มันไม่ได้ จนต้องแบกกระเป๋าอ้อมกลับไปไว้ที่โรงแรมก่อนแล้วนั้น
อีกชั่วโมงกว่าๆถัดมา เราก็กลับมายืนที่เดิม ณ สถานีอุเอโนะค่ะ

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ลูลิก็มาเหยียบอุเอโนะพาร์คมาแล้วครั้งนึง
ครั้งนั้นเดิมชมสวน (ที่แทบไม่เหลือซากุระเท่าไหร่แระ) แล้วก็เข้าไปดูสวนสัตว์อุเอโนะด้วย
เจ้าแพนด้าของเค้า ก็หน้าตาไม่เห็นต่างจากหลินฮุ่ยของเราเท่าไหร่ = =’
มันนอนนิ่งๆเหมือนกัน แล้วคนก็แห่ไปดูกันเต็มไปหมดเหมือนกัน (ไม่รู้ดูอะไร มันนอนอยู่ในบ่อโผล่มาแต่หัว -*-)

ครั้งนี้เพื่อไม่ให้ซ้ำของเดิม ก็เลยขอเส้นทางที่แตกต่างจากครั้งที่แล้วซะหน่อย
ครั้งนี้ไม่เข้าสวนสัตว์แล้วค่ะ (แม้ว่าในสวนสัตว์จะมีเต็กน่ารักๆๆของลูลิเยอะแยะก็ตามที T^T)
จะเดินดูรอบๆสวน แล้วก็เข้าวัดวาอารามศาลเจ้าที่มีอยู่ตลอดทางด้วยค่ะ
อากาศในวันนี้ ครึ่งๆกลางๆ ใส่แต่แจกเกตก็หนาวไป พอใส่เสื้อโค้ทก็เหงื่อซึมนิดๆ -*-
แต่เพื่อการไปต่อถึงกลางคืนได้อย่างไม่หนาวตาย เลยต้องล่อเสื้อโค้ทอย่างที่เห็นล่ะค่ะ แหะแหะ

มาสรุปเส้นทางในวันนี้กันก่อนซักนิด
เริ่มต้นจากสถานี JR อุเอโนะ → ศาลเจ้าโทโชคุ → ศาลเจ้าโกโจ เทนจิน → เบนเทนโดะ → สถานี JR อุเอโนะ
ดูแล้วแวะไม่ดี่ที่ แต่ก็กินเวลาไปหลายชั่วโมงเลยล่ะค่ะ (ดื่มด่ำกับธรรมชาติซะเพลิน อิอิ)

Photobucket

.

.

ออกจากสถานีก็ตรงดิ่งเข้ามาตามทางเข้าหลัก  ถ้าหากว่าใครกลัวหลง ไม่ต้องกลั๊วววว (ขึ้นเสียงสูงด้วย)
เพราะคนเยอะม๊ากกกก (เสียงสูงกว่าเดิม) เดินตามฝูงชนไป รับรองได้ว่าไม่มีหลง!!
ยิ่งวันนี้เป็นวันเสาร์แล้วด้วย ทั้งเพื่อนฝูง ครอบครัว ญาติมิตร พากันออกมาดื่มด่ำกับเทศกาลฮานามิกันจนแน่นเลยล่ะค่ะ
ทางเข้าด้านหน้า ซึ่งผ่านพิพิธภัณฑ์ ก็ยังหน้าตาเหมือนเดิม และให้ความรู้สึกไม่ต่างจากที่มาครั้งก่อน
แต่พอเดินมาถึง 4 แยกเท่านั้นล่ะค่ะ

โอ้!!!!!! นี่มัน มัน มัน ซากุระของช๊านนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

อย่างที่บอกว่ามาคราวก่อนฝนตกหนัก ซากุระเลยมีใบเขียวๆขึ้นมาซะเต็มต้นไปหมด
ครั้งนั้นเลยมาดูต้นซากุระ แทนที่จะเป็นมาดูดอกซากุระ T^T
ครั้งนี้แหละ!! ถึงแม้ว่าใบเขียวจะเริ่มแซมขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่ภาพรวมก็ยังเป็นต้นไม้สีชมพูอย่างที่ใจอยากจะเห็นอยู่ >//////<

Photobucket
ช่อซากุระแรก ที่ได้เจอกัน ณ อุเอโนะพาร์ค

Photobucket
ถนนสายซากุระ ผู้คนพลุกพล่านสุดๆ ทั้งนักท่องเที่ยว แล้วก็ชาวญี่ปุ่นที่ออกมาเฉลิมฉลองใต้ต้นไม้สีชมพูนี้

Photobucket
ชาวญี่ปุ่นออกมานั่งก๊ง กินอาหาร กินเหล้า(อันนี้เห็นเยอะกว่า ><)

Photobucket
มีทุกเพศทุกวัยจริงๆ แต่แถวๆนี้เห็นทีจะเป็นนักศึกษามหาลัยค่อยข้างเยอะ (ของชอบเลย 555)

Photobucket
แม้แต่คุณม้าก็มาฮานามิ!!!!!!!
คนแวะถ่ายรูปคุณม้าเยอะเชียวล่ะ เป็นดาราประจำโซน 555+

Photobucket
คุณพ่อเอาคุณลูกใส่ตะกร้ามาฮานามิเหมือนกัน

Photobucket
เวลาลมพัดที กลีมซากุระก็จะปลิวมากับสายลมสวยมากๆ
ลุงขา.. หนูขออนุญาตถ่ายรูปคุณลุงมาลงนะคะ เห็นคุณลุงถ่ายเอ็มวีอยู่แบบนี้ หนูประทับใจ ><

Photobucket
และแม้แต่น้องหมา ก็ยังตื่นเต้นกับกลีบซากุระที่ปลิวว่อน ^^

.

.

เดินเลยแยกเข้ามานิดเดียว ทางขวามือก็จะเห็นโทริอิหินสีทึมๆตั้งตระหง่านอยู่
อูยยยย หินๆ ครึ้มๆนี่ล่ะของชอบเลย ว่าแล้วก็เลยต้องแวะเข้าไปดูซะหน่อย!!

ศาลเจ้านี้ ก็คือ ศาลเจ้าโทโชคุ (Toshogu shrine) ค่ะ อย่าเพิ่งงงว่าทำไมชื่อเหมือนกันกับที่นิกโก้เลย
ยังค่ะยัง เรายังไปไม่ถึงนิกโก้นะคะ ^^

ศาลเจ้าโทโชคุแห่งสวนอุเอโนะแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นของเดิมแต่โบราณมาเลยทีเดียว
ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่ปี 1627 โดยขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ชื่อ โทโด ทาคาโทระ (Todo Takatora)
เพื่อเป็นเกียรติแด่ โทคุกาวะ อิเอยาสุ (Tokugawa Ieyasu) โชกุนคนแรกของราชวงศ์โทคุกาวะ
ซึ่งศาลเจ้านี้ก็ได้รอดพ้นจากการทิ้งบอมบ์ รอดพ้นจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
และตั้งตระหง่านอย่างสง่างามมาได้จนถึงทุกวันนี้ (ชาวญี่ปุ่นเองก็ยังสงสัย เอ๊ะ รอดมาได้ไง -*-)

คำว่า “โทโชคุ” นั้น แปลเป็นไทยได้ว่า “แสงจากทิศตะวันออก”
ซึ่งไม่ต้องแปลกใจเลยค่ะ ถ้าไปเที่ยวที่จังหวัดไหนๆแล้วก็จะเจอแต่ศาลเจ้าโทโชคุเต็มไปหมด
ทั่วประเทศญี่ปุ่น ศาลเจ้าโทโชคุมีมากถึง 200 กว่าแห่งเชียวล่ะค่ะ
ซึ่งแต่ละที่ถึงแม้หน้าตา และสถาปัตยกรรมอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละพื้นที่
แต่จุดประสงค์ในการสร้างขึ้นก็เป็นหนึ่งเดียวค่ะ ซึ่งก็คือ “การบูชาอิเอยาสุดุจดั่งเทพเจ้า”

ศาลเจ้าโทโชคุ
ค่าเข้าชม :: ฟรี
เปิด-ปิด :: ไม่มีเขียนบอกไว้ (หรือไม่ก็อ่านไม่ออกเอง)

แต่ใกล้ๆทางเข้าจะมีชมสวนญี่ปุ่นซึ่งเสียเงินค่าเข้าค่ะ ชะโงกหน้าเข้าไปดูแล้วไม่มีอะไร
เลยไม่ได้เข้าไป แล้วก็จำไม่ได้ด้วยว่ากี่ตัง 400-500 เยน ราวๆนี้ค่ะ

Photobucket
โทริอิหิน ที่เห็นแล้วอยากจะวิ่งเข้าใส่จริงจรี๊งงงงง

Photobucket
ด้านหลังโทริอิ ก็จะเป็นแนวโคมหินเรียงกันแบบนี้ สวยมว๊ากกกกกก

Photobucket
ผ่านซุ้มประตูทางเข้าเข้ามาค่ะ เห็นเค้าเอาแผ่นไม้มาเรียงต่อๆกันแปลกตาดี
เหมือนป้ายดวงวิญญาณที่เห็นในการ์ตูยังไงไม่รู้ -*-

Photobucket
ทางเดินเชื่อมไปยังตัวศาลเจ้าหลัก ก็ยังร่มครึ้มไปด้วยกิ่งก้านสาขาของซากุระ ><

Photobucket
ดูสิคะ 2 ข้างทางประดับไปด้วยโคมหิน ของชอบของลูลิเล้ยยยยยยย

Photobucket
ทางขวามือ มองไปก็จะเห็นเจดีย์ 5 ชั้น ของวัดคาเนจิ (Kaneji Temple)
คนหยุดยืนถ่ายรูปซากุระกับเจดีย์กันอย่างตรึม!! แต่ลูลิก็วิ่งหามุมถ่ายได้ไม่แคร์สื่อเช่นเคย 555

Photobucket
พอผ่านซุ้มประตูเข้ามาอีกลอค ก็จะเปลี่ยนเป็นโคมสัมฤทธิ์แทน ก็ยังสวยเหมือนเดิม ><
อ่านเจอมาเหมือนกับว่าโคมไม่ได้มีเอาไว้เพื่อให้แสงสว่าง แต่เป็นสัญลักษณ์ “แสง” ของคำว่า “โทโชคุ” ตะหากล่ะค่ะ

Photobucket
เหมือนกับศาลเจ้าทั่วๆไปค่ะ ที่จะมีเซียมซี แล้วก็ถ้าได้ใบไม่ดี ก็จะเอามาผูกไว้กับกิ่งไม้ หรือราวที่เตรียมไว้ให้
เพื่อให้ความโชคไม่ดีนั้นไม่ติดตัวกลับไปที่บ้านด้วย

ได้ข่าวมาว่าศาลเจ้าโทโชคุที่อุเอโนะนั้นเกิดจากฝีไม้ลายมือของศิลปินชื่อดังแห่งเอโดะ
แถมยังมีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานความเป็นจีนเข้าไป มีการประดับด้วยมังกร
ซึ่งให้ความหมายถึงการลงมา และกลับสู่สวรรค์

แต่!!!!

มันปิด!!!!!!!!!

T^T
(จ๋อยจนพูดไม่ออก ฮือออออออออออออออออ)
เลยได้แต่ถ่ายรูป Sculpture แถวๆนั้นแล้วจากมาอย่างอาลัยอาวรณ์ กระซิกๆ T^T

หน้าตาศาลเจ้าโทโชคุ (ถ้าเปิด)จะเห็นหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ credit : travelpod
Photobucket

แต่ว่าถูกบังด้วยผ้าใบสกรีนลายเอาไว้ ชิชะ… เหลือแต่คุณสิงโตตัวนี้เอาไว้ให้ดูต่างหน้า
ถ่ายแต่สิงโตกะด้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!

Photobucket
แม้แต่คุณสิงโตก็ยังเชิดใส่ T^T

.

.

เดินกลับผ่านทางเดิม (แต่ก็ยังไม่หยุดถ่ายรูป ><) เดินออกมาดูซากุระด้านหน้าอีกนิดหน่อย
ก็จะเจอโทริอิสีแดง เรียงกันอยู่จำนวนนึงทางด้านขวามือ
ด้วยความอดใจรอให้ถึง “ฟูชิมิอินาริ” หรือที่รู้จักกันในนาม “ศาลเจ้าโทริอิหมื่นอัน” ไม่ไหว
เลยขอแว่บเข้าไปดูซะหน่อย

เดินลงเขา(เตี้ยๆ) ลอดซุ้มโทริอิที่เรียงรายลงไป ก็จะเจอกับศาลเจ้าเล็กๆ
สร้างด้วยไม้ แบบสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นเด๊ะๆ
พร้อมกับซุ้มน้ำล้างมือ และรูปปั้นเทพเจ้าจิ้งจอกประปราย

ศาลเจ้าโกโจเทนจิน (Gojo Tenjin Shrine)
เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพอินาริ ซึ่งเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์
ชาวญี่ปุ่นค่อนข้างให้ความนับถือเทพอินาริกันมากพอตัว
จะเห็นได้จากทั่วประเทศจะมีศาลเจ้าที่สร้างถวายเทพอินาริมากมาย
ที่เด่นๆเลย ก็เห็นจะเป็น “ฟูชิมิ อินาริ” ที่กำลังจะได้เจอกันอีกใน 3-4 วันข้างหน้านี่ล่ะค่ะ

เคยมีคนบอกเอาไว้ว่า หากเห็นโทริอิแล้วล่ะก็ รับรู้เอาไว้เลยว่านั่นน่ะ “ศาลเจ้า” มิใช่ “วัด”
แล้วเวลาที่เห็นโทริอิ สิ่งที่มักจะเห็นควบคู่กันไปด้วยเสมอเลย ก็คือรูปปั้นจิ้งจอก
.. จะว่าไปคุยมาถึงตรงนี้แระ ขอเล่าเรื่องของเทพอินาริซักหน่อยดีกว่า
(เพราะเด๋วเราคงจะเจอกับเทพอินาริอีกตลอดทริป ^^)

เทพอินาริ (Inari / 稲荷) เป็นเทพแห่งการเก็บเกี่ยวและความอุดมสมบูรณ์ค่ะ
ไม่รู้ว่าเทพอินารินั้นเป็นหญิงหรือเป็นชาย เพราะว่ามีเรื่องเล่าออกมาเยอะแยะจนสับสนไปหมด -*-
แต่รู้แค่ว่าเวลาที่เทพอินาริไปไหน ก็จะมีจิ้งจอกสีขาวเดินตามหลังไปด้วยเสมอเท่านั้นล่ะ
ชาวญี่ปุ่นถือว่า เทพจิ้งจอก หรือที่รู้จักกันดีในนาม “คิทสึเนะ” (Kitsune / 狐) นั่นเป็นผู้เดินสารของเทพอินาริ
ถือเป็นสื่อกลางระหว่างเทพกับมนุษย์นั่นเอง ^^

และเมื่อเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่ชาวญี่ปุ่นให้ความเคารพ  สวดขอพรให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง
ทำให้เกิดศาลเจ้าที่สร้างอุทิศเพื่อบูชาจิ้งจอกอยู่มากมายทั่วประเทศญี่ปุ่น
ผู้คนมักจะถวาย ข้าว เหล้าสาเก หรืออาหารอื่นๆที่เกี่ยวกับข้าวไว้ที่ศาลเจ้าเหล่านี้ค่ะ

เวลาที่เห็นโทริอิ สิ่งที่จะเห็นคู่กันเสมอๆนั่นก็คือรูปปั้นจิ้งจอก แถมยังเป็นจิ้งจอกใส่ผ้ากันเปื้อนอีก
เคยสงสัยกันมั๊ยคะว่าใส่ทำไม? ใส่ให้น่ารัก? ใส่เล่น? หรือใส่เพราะมีความหมายอะไร?
นี่ตั้งประโยคคำถามขึ้นมาก็ยังไม่มีคำตอบ นะเนี่ย ใครมีคำตอบบอกลูลิที (แฮ่ๆ)

ศาลเจ้าโกโจเทนจิน
ค่าเข้าชม :: ฟรี
เปิด-ปิด :: เปิดตลอด (เพราะไม่เห็นมีประตู ^^)

Photobucket
โทริอิเรียงกันตรงทางเข้าฝั่งสวนอุเอโนะ

Photobucket
รูปปั้นจิ้งจอกใส่ผ้ากันเปื้อน จะยืนอยู่ข้างๆศาลเสมอ

Photobucket
ขอพรจ้ะ ขอให้รวย ขอให้รวยยยยย ^^

Photobucket
ชาวญี่ปุ่นเองก็มาขอพรกันเป็นประปราย

Photobucket
เง
าสะท้อน (ลงทำไมหนิรูปนี้ 555+)

.

.

เดินลงมาด้านหลังของศาลเจ้า ก็จะเจอฟุตบาทเลียบทางภูเขา มีถนน 2 เลนวิ่งคู่ไปด้วย
ทำคอยืดยาวมองไปฝั่งตรงกันข้าม เฮ๊ยยย ทะเลสาป!!!
มองเลยไปอีก เฮ๊ยยย งานวัดดดดดดดดดดดดดดด!!!!
พอเห็นงานวัดเท่านั้นล่ะ วิญญาณเด็กเข้าสิงในทันที ><
วิ่งโร่ อยากไปงานวัดกะเค้า จนเกือบจะลืมไปว่า ที่ญี่ปุ่นเค้าข้ามถนนตามสัญญาณไฟนะตะเอง =3=
ฟู่ววว เกือบเป็นตัวประหลาดแล้วมั๊ยล่ะเรา -*-

พอข้ามถนนไป ก็เข้าสู่บรรยากาศของงานวัดทันทีค่ะ
ทุกคนแลดูรื่นเริง ไอ้เราก็ตื่นเต้นไปด้วย
2 ข้างทางมีร้านขายขนม ขายน้ำ ขายอาหารไปตลอดทาง
ราคาไม่แพงค่ะ ไส้กรอก 400เยนงี๊ ทาโกะยากิ 500เยนงี๊ (กัดฟันกรอดดดดดด)

ตรงปลายทางของถนนที่ถูกขนาดข้างด้วยร้านค้าจนมองไม่เห็นอะไรแล้วนั้น
คือ Bentendo (弁天堂) ค่ะ เป็นตำหนักที่สร้างขึ้นถวาย Benzaiten (弁才天, 弁財天)
หรือพระอุมาเทวีนั่นเอง (กว่าจะเดาได้ว่าเป็นองค์ไหน นั่งเทียบรูปแทบแย่ T^T)
พระอุมาเทวี ตามตำราอินเดียนั้น เป็นเทพีแห่งอำนาจอันยิ่งใหญ่
ซึ่งทางญี่ปุ่นได้รับมาในชื่อของ Benzaiten ซึ่งรูปปั้นต่างๆก็หน้าตาเปลี่ยนแปลงไปจากของอินเดีย
กลายเป็นเทพีแห่งการเรียนรู้ กาพย์กลอน ดนตรี ศิลปะ เทพีแห่งสายน้ำ และเทพีผู้คุ้มครองประเทศชาติ
(ตรงนี้ถ้าไม่ถูกขออภัยค่ะ เซิชหาแล้วเค้าว่ามางี๊ = =’)
Bentendo นี้ก็เหมือนกับศาลเจ้าโทโชคุค่ะ คือมีคนสร้างศาลแบบนี้ถวายทั่วประเทศ
ถ้าไปเที่ยวในจังหวัดอื่นๆแล้วเจอ Bentendo เหมือนกัน ก็ไม่ต้องแปลกใจไปค่ะ

ด้วยความที่ตอนนั้นไม่รู้ว่านี่คือศาลอะไรหว่า?!? ก็ได้แต่ยกมือไหว้แล้วก็เดินผ่านไป
(ใจจดจ่อกับงานวัดมากกว่าสิ่งอื่นใด แหะแหะ ><)
แต่พอมาเซิชดูรูปอาคารทีหลัง อุเคี๊ยก!! สวย!!
แงงงงงงงงง ทำไมตอนน้นไม่ตั้งใจดูล่าาาาาาาาาาาาาาาาาา T^T

หน้าตาเป็นแบบนี้ credit :: panoramio
Photobucket

Photobucket
ทางเดินเข้า หลังคาเขียวๆนั่นล่ะค่ะ Bentendo ล่ะ

Photobucket
เห็นด้านหน้าแล้ว คนเบียดกันขึ้นไปไหว้มากมาย ลูลิเลยขอเดินส่องอาหารข้างทางดีก่า (ตะกละได้โล่ห์ -*-)

Photobucket
โชว์บรรยากาศงานวัดจ้ะ

Photobucket
ครอบครัวก็มา หนุ่มสาว(ครอบครัวในอนาคต)ก็มา ,, เห็นละคิดถึงปะม๊า มะม๊านะหนิ ><

Photobucket
เด็กๆมีความสุขที่ได้ออกมาเที่ยว (ลูลิก็มีความสุข แอบถ่ายรูปเด็กๆ แฮ่~~~)

Photobucket
น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เด็กญี่ปุ่นเป็นเด็กที่น่ารักที่สุดในโลกกกกกก

Photobucket
ไปซื้อของกินเองก็ได้ด้วย (ขอบอกว่าเด็กคนนี้หล่อมาก แต่กลัวแม่เค้าด่าเลยได้แต่แอบถ่ายไกลๆ -*-)

Photobucket
อันนี้ซื้อกินกันเอง น้ำไม่มีฉลากหน้าตาแปลกๆ
มันตลกตรงรูปทรงมัน (เหมือนอะไรไม่รู้ว = =’) แถมยังต้องมีท่ากินแปลกๆอีก
ก่อนอื่นเราต้องจ่ายตังเค้าไปก่อน 300เยน (ร้อยก่าบาท T^T)
เค้าก็จะเอาอะไรซักอย่างตบลงที่ปากขวด โป๊ะ!! ลูกแก้วที่อุดปากขวดก็จะตกลงไปในขวด
ทีนี้เราก็ยกขึ้นดื่ม ต้องให้ลูกแก้วมันมาคาตรงรอยบุ๋มที่คอขวด น้ำถึงจะไหลเข้าปากเรา
ถ้าหมุนผิดด้าน ลูกแก้วก็จะกลับมาอุดที่เดิม ต้องให้แม้ค้าโป๊ะให้ใหม่ 5555+
รสชาดเหมือน มิรินด้าน้ำเขียวที่ไม่ใส่สีเขียวอ่ะ ร้อยก่าบาท เอาน่า ซื้อประสบการณ์ ><

(กินเสร็จต้องคืนขวดด้วยอะ T^T 300เยนนี่ขอขวดด้วยก็ไม่ให้เหรอ)

Photobucket
ลูกชิ้นปิ้ง ไม่กล้าถามราคา กลัวต้องกิน = =’

Photobucket
อันนี้เหมือนโดโรยากิป่ะ แต่แค่หน้าตาแป้งมันเป็นรูปการ์ตูน จำราคาได้แระ แต่จำได้ว่าแพงจนถอยครูดออกมาอ่ะ 55

Photobucket
อันนี้เข้าใจว่าเป็นมันนะ

Photobucket
โอโคโนมิยากิฮะ หน้าตาเหมือนไข่ดาวมากๆ = =’
เคยกินแบบนี้ที่ถนนอะเมะยะโยโกะ อร่อยมากกกกกกกนะ แต่ตั้ง 800เยน คราวนี้เลยขอบาย แหะแหะ

.

.

พอพ้นจากโซนงานวัดออกมาด้านหลังของ Bentendo ก็จะเจอ ทะเลสาปชิโนบาซุ (Shinobazu pond)
เค้าว่ากันว่าเมื่อก่อนเคยเป็นบ่อน้ำรกร้าง แต่ตอนนี้กลายเป็นบ่อบัวที่สวยติดอันดับของโตเกียวไปแล้วล่ะค่ะ ริมฝั่งของทะเลสาปจะเห็นต้นซากุระปลูกล้อมไว้เป็นแนว น้ำที่สะท้อนสีฟ้าของท้องฟ้า รับกันกับสีชมพูของดอกซากุระ และสีเขียวของต้นไม้ สวยยยยยยยยยมากมาย

Photobucket
ตรงนี้กับในเมือง หยั่งกับอยู่กันคนละประเทศ

Photobucket
ซากุระบานเต็มไปหมดเลย >///////<

Photobucket
ถ่ายรูปกับหิน(?) ไม่จิ ถ่ายกับซากุระข้างหลังตะหากเล๊าาาาาา

Photobucket
ในทะเลสาปมีเป็ดเต็มเลย ว่ายโฉบมาแบบ “ถ่ายชั้นหนน่อยๆ” เลยแชะเข้าให้
เป็นหน้าตาดุม๊ากมาก ตาสีเหลืองด้วยนะ เห็นป่าวววว

Photobucket
ชมพู-ฟ้า = ซากุระที่อุเอโนะ (ไม่ใช่สวนกุหลาบนะ 555+)

เดินตามถนนเลียบเขามาเรื่อยๆ ก็จะมาเจ๊อะกับสถานี JR อุเอโนะพอดี
ถ้ามองตามแผนที่ ก็คือเราเดินอ้อมรอบเขาด้านล้างเอา
ก่อนที่จะข้ามไป JR อุเอโนะ ทางขวามือก็คือถนน อะเมะยะโยโกะ (Ameyayoko)
ที่เป็นเหมือนถนนชอปปิ้ง สไตล์ตลาดๆนิดหน่อย (ไม่ใช่แบรนด์เนม)
มีตั้งแต่ของสด (สับหัวปลากันเห็นๆ) ผลไม้ เสื้อผ้า ของใช้ ไปจนถึงเครื่องสำอางค์
แต่ดูจากเวลาแล้ว เราต้องไปต่อกันที่ฮาราจุกุ ก่อนที่พวกคอสเพลย์จะกลับบ้านกัน
เพราะฉะนัน อะเมะยะโยโกะ เอาไว้โอกาสหน้าละกันนะจ๊ะ
พยายามคิดว่าคราวก่อนเดินมาแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่า
แต่ก็ยังเสียดายโอโคโนมิยากิกับคนขายสุดหล่อคนนั้น (ยังคิดว่าจะอยู่ 5555+)

Photobucket
ทางเข้า Ameyayokocho ,, เงยหน้ามองข้างบนหน่อย รถไฟ JR กำลังวิ่งผ่านด้วยน๊า

Photobucket
กลับมาถึงแล้ว JR อุเอโนะ (คนละประตูกับตอนที่เราลงเพื่อเข้าสวนอุเอโนะ)

เอาล่ะ.. เดี๋ยวเราจะไปต่อกันที่ Harajuku นะคะ
แต่ดูท่าทางเพื่อนร่วมทางจะไม่ไหวแระ งั้นให้โอกาสพักหายใจ (ตอนนั่งรถไฟ) นิดนึง
แล้วค่อยไปกันต่อโนะ ^^

Photobucket
หญิงอึดย่ะ ไม่ใช่หญิงถึก =3=

To be continue…

 

► Nippon’10 Day02-1 :: นั่งรถไฟเข้าเมือง และสงครามกับตู้ฝากกระเป๋า April 25, 2010

,, 10 เมษายน 2553

หลังจากที่ล้างหน้า แปรงฟัน โบ๊ะใหม่จนสวยเช้ง(?)แล้ว เราก็เข็นกระเป๋าออกสู่โลกภายนอกกกันซะที!!
(ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัว ในห้องน้ำที่อยู่ในส่วนรับกระเป๋าค่ะ เพราะสัมภาระคงดูแลง่ายกว่าออกไปข้างนอกแล้ว)
ยื่นใบศุลกากรให้หน้าประตูทางออกของส่วนที่รับกระเป๋า (อย่างที่บอกคือ 1 ครอบครัว เขียน 1 ใบก็พอ)
คุณพี่เจ้าหน้าที่ก็มองใบ แล้วก็มองหน้ารายคน.. “Family?” เออเดะ หน้าโขลกกันมาขนาดนี้ = =’
“ฮาว ลง วิว ยู สเต เฮี๊ย?” งงไป 2 วูบ…. เอ่อ อ่า มันพูดอะไรวะ ถามว่าอยู่นานเท่าไหร่ป่ะ
“9 days” เก๊กหน้าเซล์ฟตอบไป
“อืม สะดีดิ๊ง?” …… ห๊ะ!! -{}- ภาษาต่างด้าวเหรอแว๊ = =” หันไปสะกิดน้อง มันพูดว่าไรอะ Sightseeing ป่ะ TOT
“Yes, for sightseeing” ยังคงเก๊กตอบไป แต่เหงื่อหยดลงมา 2 เม็ด
ใจเต้นตึกตัก.. ไม่ได้กลัวไม่ผ่านนะ กลัวมันถามอะไรอีกตะหาก
“พลีด” (เสียงต่ำ) พร้อมผายมือไปทางประตู
เอ่อ อ่า… แปลว่าตูไปได้แล้วชิมิคะ.. กวักมือเรียกน้อง ไอ้เสือ!! ไปเว้ย!!!
ยัตต้า~~~ สวัสดี นิปปอนจ้าาาาา \^O^/

.

.

หลังจากผ่านด่านภาษาต่างดาวมาแล้ว ต่อไปก็คือ
เราต้องไปทำการแลก JR Pass ของเรา กับซื้อตั๋ว  Tokyo metro 1day pass กันซะก่อน
อันที่จริงแล้ว JR Pass แลกวันไหนก็ได้ค่ะ แต่ว่ามีความรู้สึกว่า
“รีบแลกก็ดีนะ ดีกว่าเป็นกระดาษบางๆไม่ค่อยมั่นใจ -*- ”
ส่วน Metro 1day pass นี่ จะเป็นบัตรขึ้นรถไฟใต้ดินของบริษัทเมโทรโตเกียว  (ขึ้นได้ 7 สายจากทั้งหมด 11 สาย)
ขึ้นได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ใน 1 วัน ราคา 710 เยน
แต่ถ้าหากว่าซื้อที่สนามบินนาริตะ จะซื้อได้ในราคา 600 เยนสำหรับ 1 วัน และ 980 เยนสำหรับ 2 วันค่ะ
บูธจะอยู่ชั้นเดียวกับทางออกจากที่รับกระเป๋า ออกมาแล้วเดินมาทางซ้ายอีกนิด ก็จะเจอบูธตั้งอยู่ค่ะ

* สำหรับบัตร 1 day pass สำหรับทั้ง 2 บริษัท (ขึ้นได้ทั้ง 11 สาย) ก็มีค่ะ ราคา 1000 เยน
ส่วนตัวลูลิคิดว่าเวิร์คกว่าเยอะนะคะ เพราะว่าครั้งนี้เกิดงกจะประหยัดขึ้นมา
ทำให้ได้รู้ว่า แค่สายโตเกียวสมารถไปทุกสถานที่ท่องเที่ยวอย่างที่เค้าคุยไว้จริงๆค่ะ
แต่ว่า… มันนั่งอ้อมมากกกกก ถ้ามีเวลาก็ไม่ว่ากัน เพราะถือว่าเป็นการนั่งพักด้วย
แต่สำหรับคนที่มีเวลาจำกัด ขอบอกว่า ซื้อแบบ 2 บริษัทเถอะค่ะ ชีวิตคุณจะง่ายขึ้นอีกเยอะ
ลูลิซื้อแบบบริษัทเดียว แต่สุดท้ายก็ทนอ้อมไม่ไหว ต้องซื้อของโทเอ ไม่ก็ JR เสริมทุกที = =’

ส่วน JR Pass ต้องลงไปชั้นใต้ดินก่อน (ลงลิฟท์โลด ชั้นล่างสุดเลยค่ะ)
เดินออกมานอกประตูสนามบินแล้วมองไปทางซ้ายมือ จะเห็นห้องกระจกติดป้าย Japan Railways เอาไว้ค่ะ
ส่วนทางขวามือ ก็จะเป็นบูธสำหรับจองตั๋ว Keisei line ที่จะพูดถึงต่อไปค่ะ

การแลกบัตร JR pass ก็ไม่ได้ยากอะไร
ใช้แค่คูปองที่ได้รับมาจากตอนซื้อที่ประเทศไทย แล้วก็พาสปอร์ต เท่านั้นเอง
จากนั้นเค้าก็จะให้เรากรอก ว่าเราจะเริ่มใช้วันไหน หมดอายุวันไหน
แล้วก็จะเอาข้อมูลพวกนั้นไปเขียนลงในบัตร JR pass ของเราค่ะ
ชื่อ นามสกุล สัญชาติ แล้วก็วันเริ่มใช้ แล้ววันหมดอายุตัวบะเริ่ม!!
รับมาอาจจะงงนิดหน่อย ปีนี้มันปี 22 เหรอว๊า… ไม่ต้องงงค่ะ มันเป็นปีของญี่ปุ่นเค้าล่ะ
(เชื่อแระ ว่าชาตินิยมจริงๆ ^^”)

.

.

ต่อไปก็คือเราจะเข้าเมืองกันแล้วค่ะ
ตามข้อมูลที่ศึกษามาวิธีเข้าเมืองก็มีอยู่หลายวิธีทีเดียวค่ะ
1.ลีมูซีนบัส เป็นรถบัสที่กว้างใหญ่สะดวกสบาย แบกเอากระเป๋าใบยักษ์ไปกับเราได้ด้วย
รถจะไม่จอดแวะที่ไหนเลยนอกจากปลายทางเท่านั้น เพราะฉะนั้นขึ้นให้ถูกคันนะคะ 55+
ซื้อตั๋วได้ที่บูธเดียวกับซื้อบัตร 1day pass ของรถไฟใต้ดินค่ะ
ราคาไปถึงอิเคบุคุโระ / ชินจุกุ / ชิบุยะ / สถานีโตเกียว 80-90 นาที ค่าโดยสาร 3,000 เยนค่ะ
(มีไปที่อื่นในจังหวัดใกล้เคียงได้อีกค่ะ ค่าโดยสารแพงขึ้นอีกนิด)

2.แทกซี่ ไม่ขอพูดถึง เพราะแพงจนรับไม่ได้ -*- (ประมาณ 25,000 เยน) นั่งทีเดียวไม่ต้องเที่ยวไปอีก 4 วัน -*-

3.รถไฟด่วน JR Narita express สำหรับผู้เปิดใช้ JR Pass ตั้งแต่วันแรก
ไปได้ถึงสถานีปลายทางในโตเกียว คือสถานีโตเกียว สถานีชินจุกุ และสถานีอิเคบุคุโระ แล้วก็โยโกฮาม่าด้วย
แต่บังเอิญว่าลูลิยังต้องเก็บวัน JR Pass ไปเที่ยวฮิโรชิม่าในวันท้ายๆ เพราะฉะนั้นต้องยอมลำบากหน่อย
(ใช้เวลาแค่ 60 นาทีก็ถึงสถานีโตเกียวแล้ว ค่าโดยสาร 2,940 เยน  และ 80 นาทีถึงสถานีชินจุกุ 3,110 เยน)

4.รถด่วนและเร็ว Keisei เหมาะสำหรับผู้ไม่ได้ใช้ JR Pass และยากจนอย่างลูลิเป็นที่สุด 5555+
ด้วยราคารถเร็วแค่ 1,000 เยน (75 นาที) และ รถด่วน 1,920 เยน (60นาที) ก็ถึงสถานีอุเอโนะแล้ว
สามารถไปต่อกับ JR Yamanote (รถไฟฟ้าในโตเกียว) ได้ที่สถานีนิปโปริ (Nippori) และ อุเอโนะ (Ueno)
ลูลิขอเลือกที่ชอยส์นี้แหละค่ะ บูธขายตั๋วก็อยู่ใกล้ๆนี่แล้ว ไปเลยดีก่า…

เพราะเครื่องบินดีเลย์ แถมยังงกๆเงิ่นๆ หาบูธนู่นบูธนี่ กว่าจะเจอสถานี กว่าจะลากกระเป๋าลงมาถึง
ดูเวลาจิคะ 11 โมง 4 นาที.!!! ทั้งๆที่ตามกำหนดการณ์เดิม เราจะออกจากนาริตะ 8 โมงเช้าแท้ๆ!! ฮืออออ T^T


สถานีจะมีป้ายบอกเอาไว้ด้วย ยืนรอตรงนี้จะรถสายไหนมาจอด
รถคันไหนไปไหน จอดตรงไหน มีภาษาอังกฤษค่ะ ไม่ต้องกลัว ^^
สำหรับลูลิ ต้องขึ้นรถ No.8 ไปอุเอโนะค่ะ


หน้าตารถสาย Keisei เหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราล่ะค่ะ นั่งหันหน้าเข้าหากัน (หันหลังให้กระจก)
ลำบากนิดหน่อยตรงที่กระเป๋ามันล๊อคล้อไม่ได้ค่ะ เวลาจอดทีกระเป๋าไหลที กรี๊ดกร๊าดตลอด สงสารคนข้างๆ ><

ระหว่างทางมัวแต่นั่งเขียนบันทึก กับชื่นชมธรรมชาติอันงดงามระหว่างทาง (เห็นซากุระที ก็ฮือฮาที)
เลยไม่ได้เก็บภาพอะไรมาฝากกันนะคะ ><
ตรงข้ามเป็นครอบครัวเกาหลีอ่ะ หยิบกล้องมาถ่าย เด๋วหาว่าแอบถ่ายเค้า ฮ่าๆๆๆๆๆ

.

.

เดินทางมาถึงสถานีอุเอโนะ.. ตามแผนที่วางเอาไว้ จะเที่ยวอุเอโนะก่อน โดยการฝากกระเป๋าไว้ในตู้รับฝาก
แล้วก็ค่อยเข้าโรงแรม แล้วก็ไปต่อกันที่ฮาราจุกุในตอนเย็นๆ
ก็เลยมาลงกันที่สถานีอุเอโนะ
แต่รอบๆสถานีนั้นมีแต่ตู้ฝากของขนาดเล็ก 30×30 ซม.เองมั๊ง
ไปถามนายสถานี ก็ได้ความว่าตู้ใหญ่อยู่ข้างใน ต้องจ่ายตังเข้าไปก่อนถึงจะเจอตู้
เราก็เลยตกลงใจกันว่า ไหนๆก็คงต้องเดินทางหลายที ก็ซื้อ JR 1 day pass ไปเลยละกันเนอะ!!

บัตร JR 1 day pass (JR 1-day tokyo rail pass / Tokunai pass) สามารถซื้อได้จากตู้กดอัตโนมัติเลยค่ะ
บัตรนี้จะทำให้วันนี้เราจะสามารถขึ้นรถไฟทุกขบวนของ JR ที่วิ่งในโตเกียวได้
(ถึงจะเอาเข้าจริงก็ขึ้นแต่ Yamanote ก็เหอะ -*-)
วิธีซื้อ ก็ไม่ยากเกินความสามารถ โดยก่อนอื่นเลย ก็กดให้มันเป็นภาษาอังกฤษก่อนเลยค่ะ
แล้วก็จิ้มๆลงไปที่หน้าจอได้เลย (เป็นระบบสัมผัส)
– เลือก Discount ticket
– เลือก Tokunai 1 day pass
– สอดแบงค์ หรือหยอดเหรียญลงไป
– กดเลือกว่ากี่คนกัน
– กดเลือกราคา (ปกติจะเป็น 730 เยน แต่ของลูลิเป็น 2190 เยน เพราะว่ามากัน 3 คนค่ะ )

* บัตร 1 day pass นี่ ไม่ว่าจะเป็น JR / Tokyo metro / Toie metro หรือจะอันไหนก็ตาม
ถ้าหากรู้สึกว่า วันนึงได้ขึ้นซัก 4 เที่ยวแล้วล่ะก็ ก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะค่ะ
ค่าโดยสารรถไฟ JR เริ่มต้นที่ 110 เยน ส่วน Subway เริ่มต้นที่ 160 เยนค่ะ
แล้วราคาก็จะเพิ่มขึ้นตามระยะทางที่มันไกลขึ้น
ยังไงถ้าหากว่าแพลนแผนการเที่ยวดีๆแล้ว บัตรนี้ก็อาจจะไม่จำเป็นเท่าไหร่
แต่สำหรับพวกจอมหลง และพวกเปลี่ยนใจกระทันหันอย่างลูลิ เจ้าบัตรนี้จะเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตทีเดียวล่ะค่ะ ^^

.

.

พอเข้ามาด้านในสถานีอุเฮโนะ… ว๊าวววววว ตู้เยอะไปหมดเลย!!
รีบกระวีกระวาดเข้าไปหาตู้ที่พอจะยัดกระเป๋าเราได้ แล้วก็จะได้ไปเที่ยวกันซักที
แต่……….
ทำไมล่ะ ทำม๊ายยยยยยยยยยยยยยย
กระเป๋าลูลิ (ใบสีฟ้า) มันอ้วนเกินไป ยัดเข้าตู้ไม่ได้
โฮกกก โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ ทำไมล่ะ ทำไมไม่ทำตู้ให้อ้วนขึ้นกว่านี้อีกนิดนึงเล่าาา!!!!


เทียบสเกล T^T


เทียบให้ดูกันชัดๆ มันอ้วนไป เยอะ!! เลยล่ะ
ใบขวาเป็นขนาด Maximun ที่จะเอามาสำหรับ Backpack นะคะ (ยังจะกล้าเรียกว่า Backpack = =’)
เจ้ายักษ์ของลูลินี่ ไม่ไหวจริงจัง สวย แต่หนัก แบกยาก แถมจะโคดเกะก
ฮืออออ T^T

ตู้รับฝากพวกนี้มีหลายขนาดค่ะ ตู้นี้เป็นตู้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดค่ะ (เค้าเรียกว่า”ใหญ่พิเศษ”แล้วแต่ก็ยังไม่พอ)
ค่าเช่าตู้จะขึ้นกับขนาดตู้ค่ะ ฝากได้นานที่สุดก็คือ 1 วัน (เปิดสถานี-เทียงคืน)
ขนาดเล็ก 300เยน / ขนาดกลาง 400เยน / ขนาดใหญ่ 500เยน
ส่วนใหญ่พิเศษอันนี้ 1000เยนค่ะ แต่ตู้บนคิดแค่ 500เยนนะ ถ้าหากว่าของใหญ่แต่ไม่หนัก ก็ใช้อันบนได้ค่ะ

รายละเอียดตู้รับฝาก (Locker)
รายละเอียด locker Credit SkyBox@Pantip ค่ะ

เพราะว่าไม่สามารถทำตามแผนเดิมได้ (เลทจากกำหนดการที่วางไว้ 5 ชม.แล้ว T^T)
เลยต้องตัดใจ เข้าโรงแรมก่อน เพื่อเอากระเป๋าไปเก็บให้เรียบร้อย
แล้วค่อยนั่งรถกลับมาเดินเทียวที่อุเอโนะกันใหม่ เฮ่อออออ….
ไม่ติดใจเรื่องค่ารถ (เพราะเรามี 1day pass แร๊น ><)
แต่.. Ueno กับ Ikebukuro ห่างกันแบบคนละฝั่งของเมืองเลย ต้องนั่งรถตั้ง 16 นาที T^T
เสียเวลาชะมัดยาดดดดดดดดดด เซ็งจริง!!

เอากระเป๋าไปเก็บ แล้วค่อยมาเที่ยวกันใหม่นะคะ (*ยิ้มเจื่อน*)

To be continue…

.

.

Edit :: เพิ่งเห็นว่าโลโก้บนรูปใส่ชื่อสถานที่ผิด ฮ่วย = =’ ช่างมันเหอะเนอะ ขี้เกียจแก้แล้วง่ะ = =’

 

► Nippon’10 Day01 :: การเดินทางที่แสนยาวไกล April 24, 2010

,, 9 เมษายน 2010

เป็นวันที่เราตกลงกันเป็นวันเริ่มเดินทางสำหรับทริปนี้ค่ะ
ด้วยความที่ตามหลักการแล้วเราควรจะไปถึงญี่ปุ่นตอนเช้า (นอนบนเครื่องบิน เพื่อประหยัดค่าโรงแรม)
เราจึงจะต้องออกเดินทางจากประเทศไทยในตอนดึกๆ หรือค่ำๆ (ไทย-ญี่ปุ่น เดินทาง 6 ชั่วโมง)
แต่อย่างที่บอกค่ะ ว่าทริปนี้จองกันกระทันหันม๊ากมาก ไฟล์ทที่ได้จึงเป็นไฟล์ททรานสิทที่มาเลเซีย
เพราะฉะนั้นต้องบวกเวลาทรานสิท และเวลาบินที่นานขึ้น (ไทย-มาเล 2ชม. + ทรานสิท + มาเล-ญี่ปุ่น 7 ชม.)
ทำให้ไฟล์ที่จอง จะออกจากประเทศไทยตอน 5 โมงเย็น แล้วก็จะไปถึงที่นาริตะ 7 โมงเช้าพอดิบพอดี

ขนาดออกจากบ้านตั้งแต่เที่ยงนิดๆ ยังไปถึงสนามบินได้เฉียดเส้นตายสุดๆ
นี่ขับรถหลบไปตั้งหลายเส้น แต่ก็ดั๊นไปเจ๊อะกับคุณเสื้อแดง ปิดถนนอี๊กกกก
อยากจะร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด สวดมนต์ไปตลอดทาง ถ้าตกเครื่องจะทำไงเล่า!!!!
แต่สุดท้ายก็มาทันเวลาจนได้ สงสารคนมาส่งที่จะต้องพจญรถติดตอนขากลับอีก -*-

มาถึงเคาท์เตอร์เชคอินด้วยความประหลาดใจสุดๆ
ตอนแรกคาดค่าคิวจะต้องยาวเหยียดเป็นงูเลื้อยแน่ๆ
แต่ผิดคาดค่ะ มาถึงเดินเข้าไปเชคอินเลย ราวกับว่ามา First class >//<
ด้วยความสงสัยเลยกระแอมถามคุณพี่พนักงานคนสวยไป
“พี่คะๆ เค้าเชคอินกันหมดแล้วเหรอคะ”
คุณพี่ยิ้มให้ แล้วตอบเสียงเรียบๆ
“ค่ะ เหลืออีกแค่ 4 คน”
อู๊ยยยยยยยยย นึกว่าจะได้ปิดท้ายเครื่องซะอี๊กกกกกกกก


ปล.กล้องตัวเล็กถ่ายรูปในที่ร่มบ่ค่อยได้ ขออภัยถ้ามันจะเบลอๆไปบ้าง

หลังจากที่เชคอินเสร็จ ก็จะได้บอร์ดดิ้งพาส หรือตั๋วเครื่องบิน มาทั้งหมด 2 ชุดด้วยกัน
เพราะว่าเราจะไปเปลี่ยนเครื่องกันที่กัวลาลัมเปอร์กันไงคะ
ก่อนจะรับบอร์ดดิ้งพาสมา ก็ไม่ลืมที่จะย้ำกับคุณพี่พนักงาน
อย่างที่พ่ออุตส่าห์โทรมาจากอินเดียย้ำอีก 5 รอบก่อนมาถึงสนามบิน
“เชคทรูไปนาริตะนะคะ”
พนักงานเงยหน้าขึ้นมามองแล้วก็ยิ้มให้ พร้อมหยิบสติ๊กเกอร์รับกระเป๋ามาโชว์ให้ดู
นี่นะคะ รับกระเป๋าที่สนามบินนาริตะ
พอได้ยินอย่างนั้นก็สบายใจ….. “พ่อคะ หนูทำตามคำสั่งแล้วนะคะ >////<”

เอาล่ะ แล้วเราก็ไปมาเลเซียกันดีกว่า ,, ประสานทรีน ลุ่ย!!!!!!

.

.

บนเครื่องกรุงเทพ-กัวลาลัมเปอร์ ใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงค่ะ
มีอาหารให้ 1 มื้อ ตามช่วงเวลาอาหารเย็น
ก็เป็นข้าวผัดกับไก่ราดพริก(มั๊ง) เย็นๆจืดๆ = =’ แต่ก็พอกินได้แหละ เพราะมันก็เป็นรสชาดแบบนอมอลๆ
แต่ชอบตรงของหวานเป็น Kit-Kat นี่ล่ะ ตั้งแต่นั่งเครื่องบินมา ไม่เคยได้ของหวานเป็นชอคโกแลต เลยปลื้ม 555+

วันนี้ไม่รู้วันซวยอะไร เครื่องดีเลย์ไป 1 ชั่วโมง ค่ะ
(สงสัยรอ 4 คนนั้นที่มาไม่ทัน =3=)
ตอนแรกก็ดีใจอยู่หรอก ว่าไม่เป็นไร ดีเลย์ที่นี่ ก็จะได้ทรานซิทที่กัวลาลัมเปอร์เร็วขึ้นหน่อย
แต่.. ฟ้าไม่เห็นใจเลยง่ะ เครื่องที่ไปนาริตะ ก็ดีเลย์ไปอีก 2 ชั่วโมง!!
โอ้พระเจ้า!!!!!!!!!!!!!
ถึงกัวลาลัมเปอร์ตอนสองทุ่ม เครื่องออกตีหนึ่งครึ่ง สิริเวลารอ… 5ชั่วโมงครึ่ง!!!!!
พระเจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!! T^T

ที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ที่เค้าขึ้นบอร์ดประกาศอยู่แทบจะทุกมุมในสนามบิน
ว่าเป็นสนามบินดีเด่นประจำปี บลาๆๆๆ (จำปีไม่ได้ อารมณ์เสียอยู่ 555)
ก็เรียกได้ว่าเค้าก็เวิร์คในระดับนึงเลยล่ะ (ถ้าไม่ติดว่า ติดแหงกอยู่ 5-6 ชม. ก็คงปลื้มกว่านี้)

อาคารผู้โดยสารที่นี่แบ่งออกเป็น 2 อาคารค่ะ ที่ขึ้นงวง กับ Duty free เชื่อมต่อกันด้วยรถรางไฟฟ้า
อาคารที่เป็น Duty free ของเค้าก็ดีหรอก ใหญ่โตแลดูไฮโซดี
มีแบรนด์ดังๆอยู่เหมือนกัน ไม่ค่อยต่างจากสุวรรณภูมิเท่าไหร่ แต่ว่าการจัดการพื้นที่เค้าแลดูใหญ่โตโก้หรูกว่านิดนึง


Photobucket

Photobucket

Photobucket
สถานีรถรางไฟฟ้าระหว่างอาคารของเค้า

แต่ที่แอบประทับใจคือ ที่อาคารหลักของสนามบิน เค้าแอบมีของเล่นไว้แก้เบื่อให้ผู้โดยสารด้วย
เป็น Jungle walk ค่ะ คล้ายๆสะพานที่ออกไปนอกตัวอาคาร ได้สัมผัสอากาศจริง ต้นไม้จริง
มีน้ำตก มีต้นไม้หลายๆพันธ์ให้เดินดู มีเสียงนกร้อง ก็เพลินดีเหมือนกันนะคะ ^^
ทำทางเข้าทางออกซะเหมือนกับเวลาเราไปดูกรงนกใหญ่ยังไงยังงั้น ><

Photobucket
หารูปสวนเฉยๆไม่มี เลยเอารูปติดนายแบบมาลงละกันนะ 555+

.

.

ความทรมานอย่างนึงตอนที่ติดอยู่ที่มาเล
คือ…. ไม่มีเงินมาเลเลยแม้แต่ริงกิตเดียว (เค้าเรียกเป็นริงกิตใช่ป่ะ = =’)
ตอนนั้นพกเงินไปเป็นแสน แต่จะซื้อน้ำกินซักแก้ว ก็ไม่สามารถซื้อได้
ทรมานโฮกกกกกกกกกกกก!!!

พยายามเดินหาน้ำที่ร้านขนม แต่มันก็มีแต่ขนม
พวกคาเฟ่ ซื้อน้ำ 10 บาท เค้าก็ไม่รับบัตรเครดิท = =’
พระเจ้าจอร์จ มันยอดแย่!!

กว่าจะเจอก๊อกน้ำดื่มที่หน้าห้องน้ำ เวลาก็ผ่านไปแล้ว 3 ชั่วโมง
เป็นก๊อกที่ยิงเข้าปากเหมือนที่เห็นตามริมฟุตบาตนั่นแหละ
แต่ขอบอกว่า ไม่ได้ดัดจริต แต่ลูลิกินแบบนั้นไม่เป็นนะ T^T

แล้วที่ตลกกว่านั้นคือ…
ระหว่างที่เงอะๆงะๆ รอจังหวะจะงับน้ำ อิตู้ข้างๆมันก็กดน้ำกิน
น้ำมันมาจากท่อเดียวกันค่ะ พอโดนเปิดอีกหัว มันก็เลยแรงลดลง
น้ำที่โค้งเป็นโปรเจคไทล์อย่างสวยงามในตอนแรก ก็เหี่ยวลงถนัดตา
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ลูลิตัดสินใจงับน้ำตรงหน้า
งั่บ!! ได้อากาศมาเต็มๆ O[]O’
น้อง 2 คนที่ยืนดูอยู่ถึงกับปล่อยก๊าก แงงงงงงงงง T^T ก็คนมันไม่เคยนี่หว่า!!

Photobucket
ร้านขนมที่นี่มีเยอะมากๆ ของกินเพียบ ละลานตาไปหมด
จริงๆก็อยากกินนิดเดียวอะ เพราะมันหิว…
แต่ไม่สามารถซื้อน้อยๆได้ เลยต้องซื้อทีเยอะๆ แล้วก็รูดการ์ดเอา เชอะ!!

.

.

ด้วยความที่อยู่ที่นี่ตั้งเกือบ 6 ชั่วโมง เลยมีเวลาเดินตรวจดูทุกซอกทุกมุมของอาคารผู้โดยสารล่ะค่ะ
ที่นี่แลดูเอาใจผู้โดยสารมากเหมือนกันค่ะ มากจนแอบสงสัยว่า
“ตั้งใจจะให้มาติดแหงกแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ม๊ายยยยยยยยยยย!!!”
รู้แหละว่าไม่ใช่ แต่มันอารมณ์เสียอ้ะ!! T^T

ลองดูสิ่งอำนวยความสะดวกเค้าสิคะ
มีที่ชาร์ตแบตมือถือให้ชาร์ตฟรี (เท่ห์ต่างจากตู้ชาร์ตที่สุวรรณภูมิที่มีแต่ตู้ ปลั๊กไม่ได้เสียบเหลือหลาย = =)
มี Wi-Fi ให้เล่นฟรี (จำกัดที่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น)
มีคอมพร้อมเน็ตให้ (แต่เข้าเวปอะไรไม่ได้ซักอย่างยกเว้นเชคเมลล์กับดูสภาพอากาศ -*-)
มีเก้าอี้ที่คิดถึงผู้ใช้งานที่ต้องรอนาน (อย่างเรา) ด้วยการมีที่รองขายื่นออกมาให้จากเก้าอี้ด้วย

Photobucket
ที่ชาร์ตมือถือฟรี.. กดเปิดฝาตู้แล้วเอาแบตใส่เข้าไป (ใส่แต่แบต)
แล้วก็ตั้งรหัสปิด (ไม่ให้คนอื่นมาเอาแบตเราไปได้)
แล้วมันก็จะชาร์ตให้ 20 นาทีกลับมาเอา โอ้แบตเต็มแว้วววววว

Photobucket
มีคอมพร้อมเน็ต คาดว่าอภินันทนาการจากซัมซุง เพราะว่าเห็นมีโทสับรุ่นใหม่วางโฆษณาอยู่ข้างๆด้วย
เห็นคอมแล้วอยากกรี๊ดพุ่งเข้าใส่ แต่พอกดปุ๊บ
เฟสบุค….เข้าไม่ได้ ,, ทวิตเตอร์….เข้าไม่ได้ ,, MSN…. เข้าไม่ได้ ,,
ซีบ๊อกใน whatsubb…. เข้าไม่ได้!!
ฮ่วยยยยยยยยยยยยยยยย!!! แค่อยากจะติดต่อกับเพื่อนทำไมมันยากอย่างนี้!!
ดูเหมือนว่าอะไรที่จะเล่นแล้วนาน เค้าก็จะบลอคหมด
เหมือนมีเอาไว้ให้เมลล์หาครอบครัวเท่านั้นไรงี๊ = =’
เซ็งเป็ด!!

Photobucket
เก้าอี้ใส่ใจ.. แอบตั้งชื่อให้ว่างั้น เพราะว่าทรวดทรงของเก้าอี้บ่งบอกเลยว่า
คิดถึงผู้โดยสารที่จะต้องมารอนานนนนนนนนนนนน!!! (เน้นเข้าไป)
นั่งไม่สบายหรอก เพราะขามันเลย (ขนาดอิชั้นขาสั้นแค่นี้ = =’)
ไปนั่งม้านั่งยาวแล้วนอนยาวแบบไม่แคร์สื่อ สบายกว่า

.

.

6 ชั่งโมงผ่านไป ก็ได้ขึ้นเครื่องซักที
กัวลาลัมเปอร์-นาริตะ ได้นั่งเครื่องบินเครื่องใหญ่ มีจอทีวีส่วนตัวให้ทุกที่นั่ง
เล่นเกมกับคนข้างๆได้ด้วย
แต่….ไม่ไหวแหล่ววววว
ถ้าไม่นอนตอนนั้น พรุ่งนี้ไปเที่ยวไม่ไหวแหงแซะ = =’
แต่ไม่ต้องกล่อมค่ะ เครื่องยังไม่ทันขึ้น ก็หลับคร่อก หมดท่า!!

หลับได้ไม่นาน ก็มีเสียงคร๊องแคร๊งๆ มากระตุ้นโสตประสาท
นั่นก็คือเสียงคุณแอร์มาแจกแซนวิชมื้อดึกนั่นเอง
แจกกันทั้งที่มืดๆงี๊หละ เพราะไม่อยากรบกวนเวลานอนของผู้โดยสาร
อิชั้นไม่หิวหรอกค่ะ แต่ว่าตะกละ!!
ก็เลยผงกหัวขึ้นมารับ (ไม่ลืมรับให้น้องด้วย 555+) แล้วก็หลับไปอย่างไม่ได้กิน (รับทำไม -*-)
ตื่นมาอีกที ก็เป็นอาหารเช้า ซึ่งก็เป็นสัญญาณว่า อีกประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็จะได้เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นแล้วล่ะ!!

Photobucket
มื้อดึก ดึกจริงๆ มืดเชียว = =”

Photobucket

มื้อเช้าบนเครื่องบิน ไม่เคยกินได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสายการบินไหนก็ตาม = =

“อีกประมาณ 30 นาที เราจะพาท่านลงสู่ท่าอากาศยานนาริตะครับ”
เสียงแหบๆของกัปตันว่ามาเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงมาเลเซีย (นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าพูดอะไร ไม่รู้เรื่องชัวร์ = =’)
เหล่าแอร์ในชุดพื้นเมืองของมาเลเซียก็เดินแจกใบตรวจคนเข้าเมืองกันอีกรอบ
มาถึงก็ “… $)_(%$#+_#$….  เดสก๊ะ?”
ไอ้เราก็ได้แต่ยิ้มแหยๆตอบรับไป พร้อมกับชูใบในมือแทนคำตอบ

ตรงที่ลูลินั่ง เป็นโซนชาวญี่ปุ่นค่ะ แล้วไฟลท์นี้ก็บินร่วมกับ ANA
เพราะฉะนั้น ก็เลยมีแอร์ญี่ปุ่น ใส่ชุดแอร์มาเลย์เต็มไปหมด
คนไหนมองๆแล้วเป็นคนมาเลย์ก็พูดอังกิดใส่ คนไหนมองๆแล้วน่าจะเจแปนนิสก็รัวใส่ไม่ยั้ง
อืม… น่าดีใจนิดนึง ที่เค้ายังคิดว่าหน้าตาเราเหมือนญี่ปุ่นมากกว่ามาเล 55555+

ที่คุณแอร์ถามเมื่อกี๊ก็คือ “มีใบตรวจคนเข้าเมือง และใบแจ้งศุลกากรแล้วรึยังคะ” นั่นเอง
และนี่ก็คือหน้าตาของเอกสารที่จะต้องใช้ในการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ประเทศญี่ปุ่นค่ะ

Photobucket

Photobucket

.

.

เอาล่ะ ในที่สุดก็หลุดออกมาจากเครื่องบินอันแสนอุดอู้ มาเหยียบลงบนแผ่นดินเจแปนที่แสนคิดถึงแล้ว!!
สนามบินนาริตะ ก็มีหลาย Termimal แล้วก็เชื่อมต่อกันด้วยรถรางไฟฟ้าเช่นเดียวกันค่ะ
จุดแรกที่หายใจเฮือกใหญ่กับอากาศดินแดนอาทิตย์อุทัย ขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย ^^
พรีเซนเตอร์เพิ่งตื่นนอนนะคะ ยังไม่ได้แต่งหน้า ไม่ว่ากันนะ 5555+

Photobucket

Photobucket
มีปุ่มเรียกรถไฟฟ้าด้วย เหมือนลิฟท์เลย

Photobucket
พอดีได้นั่งตู้สุดท้าย เลยได้เห็นรถอีกคันที่แล่นสวนไปด้วย

ต่อจากนั้นก็เป็นการผ่าน ตม.
ยื่นเอกสารที่เขียนบนเครื่องบินเมื่อกี๊ให้ที่เคาท์เตอร์
เค้าก็จะถ่ายรูป แล้วก็ปั๊มลายนิ้วมือของเรา
แต่ที่ทำเอาเราตื่นเต้นชะมัด ก็คือ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด พอมันอ่านพาสปอร์ตเราว่าเราเป็นคนไทย
คำสั่งที่จอคอมพิวเตอร์ ก็กลายเป็นภาษาไทยให้
อุ๊ยยยย ปลื้มมมมมมมมมมมมมมม!!!!!

แอบเล่า ::
เป็นปกติของคนที่ขี้เกียจรอคิว ที่เวลาลงจากเครื่องจะต้องรีบดิ่งไปที่ตม.ให้ได้เร็วที่สุด
ลูลิก็ไปอย่างไวเลยค่ะ แต่ก็ต้องไปติดระบบตรวจความเรียบร้อยของเค้า
ก่อนจะเข้าไปในคิว เค้าจะมีพนักงานคอยตรวจให้ก่อนว่าเอกสารเซ็นครบมั๊ย กรอกครบมั๊ย
ต้องให้พร้อมจริงๆถึงจะปล่อยไปเข้าคิวค่ะ
เพราะฉะนั้น กรอกให้กันได้ แต่อย่าลืมให้เซ็นให้เรียบร้อยก่อนถึงตม.นะคะ ^^

ผ่านตม.มาได้อย่างเริงร่า (แต่หน้าโทรมสุดๆ)
ก็เดินลงมาชั้นล่างมาเอากระเป๋า
แล้วก็ควักกล้องมาถ่ายรูปอีกซักแชะ
ก่อนที่จะมีพนักงานเดินมาสะกิด “NO PHOTO HERE” แล้วก็ชี้ไปที่เครื่องหมายห้ามถ่ายรูป
อุ๊ยตายไม่ทันมอง (ยังไม่ได้แคะขี้ตาอะค่ะ ><)
ขอโทษทีนะคะ แต่ถ่ายมาแล้วล่ะ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ 55555+

Photobucket
ขอให้ดูกระเป๋า สาบ๊านนนนสาบาย ว่าแบคแพค!!!!!!!

เดี๋วขอตัวไปล้างหน้าแปรงฟันซักหน่อย (เหม็นมาทั้งคืน)
แล้วเด๋วออกไปเที่ยวกันต่อน๊าาาาาาา….. ♥

To be continue….

 

► ของฝากจากอินเดีย April 23, 2010

Filed under: •• ไอ้.นู่น.ไอ้.นี่ — lady2go @ 2:25 pm

,, อะแหนะ งงอ่ะดิ๊ 5555+
ไปญี่ปุ่น ไหงมีของฝากจากอินเดีย

อ่านไม่ผิด แล้วก็ไม่ได้พิมพ์ผิดค่ะ
เป็นของฝากจากอินเดีย ที่ป๊ะป๋า กับ มะม๊า  หนีไปเที่ยวกัน 2 คนไงเคอะ
ดูหรูมะ ลูกไปหนาวที่ญี่ปุ่น ละปล่อยพ่อกับแม่ไปตับแลบที่อินเดีย = =’

แท่น แท๊นนนนน…

น่ารักชิมิๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ><

อันขวดโตนี่มีคนให้แม่มาเป็นของขวัญปีใหม่เมื่อปีก่อน เลยสอยมาใช้
แล้วแอบรู้สึกว่า กลิ่นนี้เข้ากับเราดีเนอะ ดีกว่าอิของแพงๆฉุนๆนั่นตั้งเยอะ (คิดตามประสาคนจน 555+)
พอดีว่าพ่ิอกับแม่ ได้ออกนอกประเทศก่อน ก็เลยให้จัดการซื้อมาให้ซะัเลย
(ไม่เสียตังเองนี่ เริงร่าสุดๆ โฮะๆๆๆๆๆ)

ที่พ่อกับแม่ซื้อมาให้ เป็นขวดเล็ก 2 ขวดค่ะ
แกะออกมาถ่ายรูปเล่นขวดเดียวก่อน
เวลาขวดเล็กกับขวดใหญ่มันวางคู่กันแล้วน่ารักมากเยย ><

เอามาถ่ายรูปเล่น แล้วจิ้น(ไปเอง) ว่ามันดูเหมาะสมกันจังเลยโนะ
ทำให้คิดไปถึง โนวากิ กับฮิโระซัง (เรื่องนี้ก็ขึ้นสมอง หายใจเข้าหายใจออกกันเลนทีเดียว ><)

จริงๆเอนทรี่นี้ก็ไม่มีอะไร นอกจากอยากจะมาเวิ่นเว้อเรื่องโนวากิกับฮิโระซังแค่นั้นล่ะ
ว่าแล้วก็ไปอ่านการ์ตูนต่อ ฟ๊าวววววววววว~~~ โฮะ โฮะ โฮะะะะะะะ

 

► แล้วเวลานี้ก็มาถึง Lady Ready ,, พร้อมแว้ววว ลุ๊ยยยย~!!! April 9, 2010

Filed under: •• ไอ้.นู่น.ไอ้.นี่ — lady2go @ 12:21 pm

,, นี่น่าจะเป็นเอนทรี่สุดท้ายที่อัพก่อนออกเดินทาง (บ้าเนอะ จะอัพทำไม 555+)
จริงๆก็จัดกระเป๋าเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนละล่ะ
แต่ว่าเมื่อคืนมีไข้ ตัวร้อน เจ็บคอ น้ำมูกไหล และไอค่อกแค่ก
ไม่รู้ว่าเป็นหวัด 2009 กะัเค้ารึเปล่า ,, จุ๊ๆ อย่าไปบอกตม.นะ ><

เอารุปกระเป๋าที่จัดมาให้ดู ตอนแรกก็คิดว่านิดเดียว แต่ว่าพอปิดกระเป๋า ไม่มันปิดไม่ลงล่ะ =[]=
ลองหิ้วดู แอร๊กกกกกกกกกก หนักมวากกกกกกกกกกกกกกกกกก T^T
คิดภาพไม่ออกว่าจะแบกลงจากห้องยังไง
(แ่ค่ลงจากห้องยังไม่มีปัญญา แล้วชั้นจะทำยังง๊ายยยยยยย)
ช่างมัน อาจจะทุลักทุเลไปบ้าง ก็เอาอะไรออกไม่ทันละ
อยากสวยต้องทน!!!!~  5555555+


ใบรายการเที่ยวครั้งนี้ เขียนเพิ่มซะยุ่บยั่บ อ่านรู้เรื่องอยู่คนเีดียว ฮ่าๆๆๆๆ
ส่วนไอ้สีชมพูๆนั่นคือ ตารางแฟชั่นของลูลิค่ะ
ประสาทขนาดที่ว่า วันไหนจะใส่ตัวไหน เขียนไว้เสร็จสรรพ จะได้จำได้ ฮ่าๆๆ


เอาล่ะ..ของในกระเป๋า~ พร้อมมมม!!
(มีนิืดเดียว ทำไมมันปิดไม่ลงล่ะ + +”)


ปิดกระเป๋าละเป็นงี๊
ซื้อใหม่มา POLO รุ่น Beatle น่าร๊ากกกกกกกกกกมากๆๆๆๆ ><

เอาล่ะ กระเป๋าพร้อม!! คนก็พร้อม!!~
รถที่มารับบีบแตรรออยู่ข้างล่างละ
ลูลิต้องขอตัวไปขนกระเป๋าลงข้างล่างแล้วล่ะค่ะ
เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า
แล้วจะเก็บซากุระมาฝากนะจ๊ะ ทุกคน ~

มินนะ ซาโยนาระ~♥


พร้อมแล้ว ,, ลุย!!!!!!

 

► บทที่ 4 :: ฝนฟ้าและเสื้อผ้าหน้าผม April 6, 2010

,, สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องนึงของการเดินทางไปต่างประเทศ ก็คือเสื้อผ้าค่ะ
ขอออกตัวไว้ก่อนว่าลูลิไม่ได้ริจะเป็นผู้นำแฟชั่น อยากสวยเริ่ดเชิดหยิ่งบนแผ่นดินญี่ปุ่นหรอกนะคะ
ที่พูดเรื่องเสื้อผ้านี่ขึ้นมาก็เพราะว่า.. อากาศบ้านเค้า ไม่เหมือนอากาศบ้านเรา
เวลาไป ถ้าเสื้อผ้าไม่เหมาะสม ร้อนไป หนาวไป มันก็ทำให้การเที่ยวของเราหมดสนุกได้

เดี๋ยวจะหาว่าพูดลอยๆ -*- ลูลิเคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้วทั้ง 2 แบบค่ะ
แบบว่าเอาเสื้อผ้าไปตามใจฉันมากๆ
วันนี้ดิชั้นอยากจะเกาหลี เลยแต่งไปซะเต็มยศ..
ไปเอเวอร์แลนด์ที่เกาหลีค่ะ สุดท้ายต้องถอดเสื้อตัวข้างในออก
ไม่สวยก็ไม่เป็นไรละ ร้อนจนจะเป็นลม + +”

หนาวจนแทบตายก็เคยอยู่ (อันนี้บ่อยเชียว)
คงเพราะว่าเป็นคนขี้หนาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
เสื้อผ้านี่ ใส่เท่าไหร่ก็ไม่พอ T^T
เคยไปยืนริมน้ำที่เซี่ยงไฮ้ด้วยกางเกง 5 ส่วน กับแจ๊กเกตบางๆมาแล้ว
แต่ขอโทษ อุณหภูมิตอนนั้น 10 องศา……… -*-
ถ้าไม่แข็งตายวันนั้น จะให้แข็งตายวันไหน T^T

งานนี้พอมีเวลา ก็ขอเชคสภาพอากาศกันหน่อย เอาพอให้รู้ว่าเสื้อผ้าควรจะขนไปขนาดไหนกัน

.

.

ตามลักษณะอากาศประจำเดือนเมษายน ที่เรียกว่าฤดูใบไม้ผลินั้น
จะกล่าวโดยสรุปได้ว่าเฉลี่ยแล้ว ก็ราวๆ 15 องศา
สวมแจกเกตนิด ผ้าพันคอหน่อย ก็น่าจะโอเค

แต่…
ก็ไม่รู้ว่ามันจะ 15 องศาทุกวัน หรือทุกเมืองมั๊ยน่ะสิ
อันนี้ก็ต้องมีตัวช่วยนะคะ ^^

ปกติ ลูลิจะเชคสภาพอากาศคร่าวๆจาก CNN weather
แต่คร่าวจริงๆนะ เพราะว่าเวลาไปยุโรป รู้ว่ามันหนาว ก็คือมันหนาวจริงๆ
เอาเสื้อโค้ทไปตัวเดียวอยู่เลย 10 วัน ไม่ต้องเชครายวันก็ได้อะไรแบบนี้
แต่ที่ญี่ปุ่นนี่มันไม่ได้หนาวขนาดนั้น
อากาศแบบหนาวก็หนาวไม่สุด ร้อนก็ร้อนไม่มากแบบนี้ เตรียมเสื้อผ้ายากม๊ากมาก…
เพราะฉะนั้นเลยอาจจะต้องเชครายวันซะหน่อย

ลูลิไปเจอเวปทำนายสภาพอากาศเวปใหม่อีกเวปนึงค่ะ
เวปนี้ทำนายล่วงหน้าไปได้ถึง 9 วัน
ทำให้แพลนสภาพอากาศได้ล่วงหน้าค่อนข้างไกลทีเดียว
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าล่วงหน้านานขนาดนั้นแล้ว ยังจะแม่นอยู่รึเปล่า -*-

.

.

หลังจากทีเชคสภาพอากาศจากเวป  weather-forecast.com เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แทบจะต้องหายาพารามากินกันเลยทีเดียว = =

ที่โตเกียว ที่ที่แพลนว่าจะต้องไปดูซากุระให้ทัน (ลงเครื่องวันที่ 10)
ก็แลดูอากาศแจ่มใสเหมาะกับการชื่นชมซากุระได้ดีทีเดียวล่ะค่ะ
แต่…. แอบเหล่ไปคืนวันที่ 9 ฝนมันตกอ้ะ!! แล้วซากุระจะเหลือรอดถึงวันที่ 10 มั๊ยคะ T^T

ส่วนที่เกียวโต โอ้ละหนอช้ำตรมมาก T^T
วันที่อยู่ที่เกียวโต คือวันที่ 14 และ 15 ค่ะ
มองแผนผังแล้วแทบจะกรี๊ดดดดดดดดดดดด
ฝนตก!!! เท่านั้นยังไม่พอ HEAVY ด้วย!!!
จอร์จ ……… -*-

เกียวโตนี่เรียกได้ว่าเป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางในครั้งนี้เลยนะคะเนี่ย
ทำไมฟ้าใจร้าย ถึงปล่อยฝนลงมาช่วงนี้ล่ะ T^T
แซ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดอ้ะ!!

ต่อจากเกียวโต เราก็จะเดินทางต่อไปโฮซาก้าค่ะ
ซึ่งวันที่เดินถามถึงโอซาก้า ยังไม่สามารถทำนายสภาพอากาศได้
แต่ดูจากแนวโน้มของวันก่อนหน้า ก็ท่าทางจะเจอฝนเช่นกัน
เฮ่อ!!! ถอนหายใจหนักๆ 1 ที

ก็ได้แต่หวังว่า การทำนายสภาพอากาศของญี่ปุ่นที่ว่าแม่นนักแม่นหนา
จะมาพลาดเอาวันนั้นล่ะค่ะ = =’

แล้วถ้าฝนตกแบบนี้… ต้องเตรียมเสื้อกันฝนไปมั๊ยเนี่ยยยยยย!!
ว่าแล้วก็วิ่งออกไปซื้อเสื้อกันฝนเซเว่นมาเตรียมไว้ ประชดชีวิต!!!!!!!

 

► บทที่ 3 :: JR pass ผู้ช่วยชีวิต April 5, 2010

,, ใครๆก็ว่าค่าเดินทางที่ญี่ปุ่นน่ะแสนแพง…. อันนี้ก็ไม่ขอเถียง
แต่ทางญี่ปุ่นเค้าก็ไม่โหดร้ายเกินไปหรอกค่ะ แลดูจะใจดี ออกตั๋วแบบเหมาจ่ายมาให้แทบจะในทุกเมือง
อย่าง JR pass ที่จั่วหัวในวันนี้ ก็เป็นหนึ่งทางที่ช่วยนักท่องเที่ยวตาดำๆลดหย่อนค่าเดินทางลงไปได้เยอะ
นอกจาก JR pass แล้ว แต่ละหัวเมือง (อูย เรียกซะโบราณ = =’) อืม… ในแต่ละเมืองใหญ่ๆ
หรือกระทั่งเมืองเล็กๆที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ก็แข่งกันประโคมเอาใจนักท่องเที่ยว
ด้วยการออกตั๋ว 1 day 2 days กันทั้งนั้นเลยล่ะค่ะ
แถมยังมี package ทัวร์ออกมาให้อีกพรึ่บ ขึ้นสายนี้ ต่อขบวนนี้ ในราคาเพียงเท่านี้ บลาๆๆๆ ก็ว่ากันไป

มาพูดถึงเรื่อง 1day-2days pass กันซะหน่อย
เมื่อปีก่อน ลูลิไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่ยังแอ๊บแบ๊วขี้ขลาด จ้องเที่ยวแต่ในโตเกียวอยู่ค่ะ
ครั้งนั้นไม่ได้วางแผนอะไรมากมาย คิดว่าไปวันละ 2 ย่าน ก็น่าจะโอเค
(เที่ยวได้ชิวมหาศาลบานตะไท = =’)
ด้วยการเดินทางที่ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ได้ศึกษาอะไรมาก่อนเลย
เรา 2 คน ก็เลยเลือกไปตายเอาดาบหน้าค่ะ

ตอนกดบัตรรถไฟครั้งแรก ก็แอบเห็นแหละว่า มันมีตั๋ว 1day pass ให้กดด้วย
รวมรถไฟใต้ดินทั้ง 2 บริษัท (โตเกียว 7 สาย โทเฮอีก 4 สาย) ในราคา 1000 เยน
ถ้าเลือกเอาแค่บริษัทเดียว ก็บริษัทละ 700 เยน
ยืนคิดกันอยู่หน้าตู้ นานมว๊ากกกกกก
ถ้าเลือกบริษัทเดียว มันก็ไม่ครอบคลุม ต่อขบวนลำบาก นั่งอ้อม บลาๆๆ
แต่ถ้าเหมา 1000 เยน ก็แลดูจะแพงเกินไป วันนึงเราจะนั่งถึง 1000 เยนมั๊ยน๊า??
ว่าแล้วก็เลยลองกดดู ว่าสถานีนึงมันเท่าไหร่กัน!!
รถไฟฟ้าใต้ดินที่ญี่ปุ่น เริ่มต้นที่ 190 เยนค่ะ แล้วราคาก็จะเพิ่มตามระยะทางเหมือนกับบ้านเรา
แต่ลองคิดคร่าวๆ วันนึงไป 2-3 ที่ ขึ้นทีนึงก็ไม่น่าเกิน 250 เยน
พึมพำๆๆๆๆ  สรุปแล้ว ทริปนั้น มันก็เลยจบที่ ไปไหนทีก็กดทีค่ะ
บางวันก็ไม่ถึง 1000 เยน ก็กลับบ้านนั่งหัวเราะกัน ว่าดีนะที่ไม่ซื้อ (หัวเราะทำไม?!!)
แต่วันไหนที่เกิน 1000 เยน ก็มานั่งบ่นกัน “รู้งี๊จ่ายเหมาก็ดีอะ…”

ส่วนทริปครั้งนี้ วางแผนอยู่ในโตเกียวแค่ 2 วัน
วางแผนอย่างดีว่าจะไปไหนบ้าง (ว่างงานก็เงี๊ยะ)
สุดท้ายเลยตกลงปลงใจได้ว่า
วันแรก จะซื้อบัตร JR 1 day pass เพราะว่าที่ที่จะไป มี JR ผ่านทั้งหมด
วันที่สอง จะซื้อบัตร metro 1 day pass เพราะว่าที่ที่จะไป นั่ง JR แล้วอ้อมมากกกกกกกก
แหม่… วางแผนไว้ก่อนนี่มันก็ดีตรงนี้นี่เองล่ะ ^^

.

.

ก็อย่างที่บอกค่ะ แพลนว่าจะอยู่โตเกียวแค่ 2 วัน
ส่วนอีก 6 วันที่เหลือ เราจะไปลุยต่างจังหวัดกัน (เที่ยวแต่โตเกียวก็น่าเบื่อตายซี่ = 3=)
วิธีการเที่ยวแบบไม่ให้เหนื่อยมาก ก็คือเลือกจังหวัดศูนย์กลาง พักที่เดิม แล้วอาศัยนั่งรถเที่ยวรอบๆเอา
(แค่ไม่ต้องย้ายโรงแรม ไม่ต้อง pack กระเป๋าทุกวัน ก็สุขเหลือหลายแล้วล่ะค่ะ)
แล้วระบบขนส่งมวลชนของญี่ปุ่นก็เรียกได้ว่าเริ่ดสะแมนแตนอยู่แล้ว
นั่งรถครึ่งประเทศ ก็แค่ 3 ชั่วโมงเอ๊ง…

แต่… เวลาไม่ใช่ปัญหาค่ะ
ปัญหามันคือ “ตังค์!!!!!”

ลองยกตัวอย่าง โอซาก้า-ฮิโรชิม่า
2 เมืองนี้ นั่งรถชินคันเซนแบบเร็วธรรมดา (Hikari) จะใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมงครึ่ง
แต่ค่ารถ ปาไป 9,950 เยน!!!!
(คุณเป็นเงินไทยที่อัตรา 100เยน=35บาท ก็ตกประมาณ 3482.50 บาท)
ไป 3 คน ก็………………. คูณเอา = =’

นี่แค่เมืองเดียว และขาไปอย่างเดียวนะคะ
ยังมีขากลับอีก 1 เท่าตัว แล้วก็ไปเมืองอื่นๆอีก (ยิ่งไกลยิ่งแพงอีกนะ)
โอ้ว… ไม่อยากจะบรรยาย
เพราะฉะนั้น พระเอกของเรา…. แต่นแต๊นนน JR PASS ค่ะ

พระเอกของเราทำอะไรได้บ้าง
ก็จะสามารถขึ้นรถลงเรือทั้งหมดที่เป็นของบริษัท JR (Japan Railways) ได้ไงคะ
ตั๋วจะแบ่งออกเป็น 7 วัน 14 วัน แล้วก็ 21 วัน
แต่ละแบบก็จะแบ่งออกเป็นตั๋ว Green ที่เรียกว่าไฮโซววสุดๆ (มิอาจเอื้อม -*-)
กับตั๋วแบบ Ordinary คือแบบชนชั้นคนธรรมดาอย่างเราๆค่ะ
(เค้าก็บอกกันว่า Ordinary ก็พอแล้วนะ สบายกว่าเมืองไทยแยะอยู่ละ ^^)
ลูลิเลือกซื้อตั๋วแบบ Ordinary 7 วัน ในราคา 28,000 เยนค่ะ
ลองเทียบราคาดูสิคะ แค่ไป-กลับ ฮิโรชิม่าก็เกือบ 2หมื่นเยนละ
ยังเหลือโอซาก้า เกียวโต นารา คามาคุระ โยโกฮาม่า แล้วก็นิกโก้อีก
แบบนี้ต้องวิ่งไปจุ๊บคนคิดฟอดโตๆแทนคำขอบคุณแล้วล่ะ “ยอดไปเลยจอร์จจจ!!”

.

.

สำหรับตั๋ว JR pass นี้ เป็นของขวัญที่ทางการญี่ปุ่นจัดให้สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้นค่ะ
เพราะฉะนั้นแล้ว เราจะสามารถซื้อได้จากนอกประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นนะคะ
โดยผ่านบริษัททัวร์ที่ได้รับการรับรองจากทางญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในเมืองไทย ก็มีอยู่หลายที่เลยล่ะค่ะ แถวๆสีลม สาทร ธนิยะ เพียบ!!

พอดีว่าวันนั้นลูลิไปชุมนุมเสื้อชมพู เอ๊ยไม่ใช่ >< ไปปรึกษาเรื่องที่เที่ยวที่ JNTO
(องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น) ตรงอาคารรามาแลนด์ แถวๆต้นถนนสีลมค่ะ
ก็เลยตัดสินใจเดินไปที่ตึกธนิยะ เพื่อซื้อ JR pass ด้วยซะเลย
ที่ธนิยะมีตัวแทนจำหน่าย JR pass อยู่หลายที่เลยล่ะค่ะ
แต่ว่าอากาศมันร้อนนนนน ลูลิก็เลยเลือกแว่บบบ เข้าไปในห้างธนิยะซะเลย (เย็นฉ่ำ 5555+)
เดินหาอยู่ซักพัก ก็เจอห้องเล็กๆของบริษัท Siam MC tour ค่ะ
เจ้าหน้าที่ (คาดว่าเป็นลูกชายเจ้าของ) ก็จัดแจงออกตั๋วให้ พร้อมอธิบายเป็นอย่างดี
ต้องไปแลกตรงไหน ใช้ยังไง บลาๆๆๆๆ
(ฟังอย่างเดียวค่ะ เพราะว่าเดินมามันเหนื่อย คิดตามไม่ทัน 5555+)

จ่ายตังไป 30,000 บาท ได้กระดาษกลับมา 3 ใบ……
โอ๊ยยยย เจ็บปวดรวดร้าวเสียนี่กระไร…
คงเพราะเห็นสีหน้าคนขี้งกออกอาการอย่างรุนแรง พี่เจ้าหน้าที่ก็เลยหัวเราะหน่อยๆ
แล้วก็จัดแจงหยิบบัตรลดราคา Universal studio Japan (USJ) มาให้
แฮ่…. ค่อยยิ้มออกหน่อย ><
ลดไม่เยอะหรอกค่ะ ประมาณ 300 เยน… แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ชิมิ ^^”


ได้ตั๋วมาหน้าตาแบบนี้ (กระดาษ 3 ใบ อยู่ในนั้น)


เปิดข้างในให้ดู (ข้างบนนั่นตั๋วเครื่องบิน ไม่เกี่ยวกัน)

คุณพี่เจ้าหน้าที่บอกว่า เวลาไปถึงนาริตะ ก็ให้เอาตั๋วนี่
พร้อมกับพาสปอร์ตที่มีสติ๊กเกอร์ของตม.ไปยื่น (ถ้าไม่มีสติกเกอร์นี่ ละจะเข้าประเทศได้ไงฟระ = =’)
เค้าก็จะให้บัตรที่เรียกว่า JR PASS มาให้เรา
ของลูลิยังไม่ได้นะคะ (ยังนั่งต๊อกอยู่เมืองไทย จะมีได้ไง = =)
อันนี้ยืมของพ่อกับแม่ที่ไปหนีไปเที่ยวกันสองคนมาถ่ายให้ดูเล่นก่อน ^^


JR pass คือเล่มๆตรงกลางค่ะ ขนาดเท่าฝ่ามือ กางออกมาก็จะเป็นเหมือนเล่มขวาสุด
ส่วนใบๆ ฟ้าๆกับดำๆ ทางซ้าย นี่คือตั๋วเวลาเราไปจองที่ บุคที่นั่งอะไรแบบนั้น

เอาล่ะ อุปกรณ์ครบ ที่พักเรียบร้อย แผนพร้อม.. มีเท่านี้ก็ไปญี่ปุ่นได้อย่างสบายใจแระ
เหลืออีกอย่างเดียว ที่เป็นห่วงสุดแสนจะกังวัลฤทัย…
“เสื้อผ้าล่ะ!! ยังไม่มีชุดน่ารักๆใส่ไปหาหนุ่มญี่ปุ่นเลยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!”
ปัญหาใหญ่ที่สุดในชีวิต รีบไปจัดกระเป๋าก่อนดีฝ่า~~~ >////////<

หนุ่มๆจ๋าาาาาา รอลูลิด้วยยยยยยยยยยยยยยยย~~~~~ ♥

 

► ซากุระจ๋า อย่าเพิ่งบานได้มั๊ย April 4, 2010

Filed under: •• ไอ้.นู่น.ไอ้.นี่ — lady2go @ 9:47 pm

,, ขอนอกเรื่องนิ๊ดส์นุง
พอดีว่านั่งเชคตารางรถไฟอยู่ แล้วก็ลิ้งไปลิ้งมา (แบบไม่ได้ตั้งใจ)
ดันไปเจอตารางการบานของซากุระเข้า

ตอนแรกเค้าว่ากันว่าปีนี้ซากุระบานเร็ว เพราะว่าอากาศมันร้อนไว
ตอนแรกที่แพลนจะไป เชคมาเค้าว่าจะบานเต็มที่วันที่ 29 มีนาคม
ตอนนั้นก็เล่นเอาจ๋อยไปเหมือนกัน T^T
เพราะอย่างที่บอกค่ะ ไปงวดที่แล้วลงนาริตะปุ๊บ ฝนตกปัํบบบบบบ…..
ถึงจะรีบบึ่งไปสวนอุเอโนะแค่ไหน
แต่ภาพที่เห็น… ต้องลงไปคุกเข่ากรีดร้อง กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด เขียว!!!!!
ดอกไม้ของนู๋ ฮือออออออ…

/ตัดมาภาพปัจจุบัน/
มาปีนี้ก็ไม่ค่อยหวังว่าจะได้เห็นละนะ เพราะว่าเค้าว่ากันว่าเราไปไม่ทัน
แต่… แต่… แต่!! เหมือนฝนฟ้าสวรรค์เทวดาเป็นใจ
เค้าว่ากันว่า (เค้านี่มันใครแฟระ = =’) ตอนนี้มันยังไม่บานเลย!! กรี๊ซซซซซซ


ดูจิๆๆๆ มันยังเป็นตุ่มน้อยนิด


ยังบานน้อยๆแต่พองาม

โอ๊ะ เห็นแล้วปลื้มมมม >///<
จริงๆแล้วอยากเห็นเทศกาลฮานามิด้วยตาตัวเองซักครั้งในชีวิตเหมือนกันนะ
น้องสาวลูลิบอกว่า “ถ้าไปชนกับงานฮานามิ ก็จะไม่มีที่ให้เราถ่ายรูป”
ไม่เป็นไร๊!! เพราะถ้าดอกไม้บาน ชั้นก็ไม่ถ่ายเธออยู่แล้วล่ะ คึคึ
มิต้องเป็นห่วงไป แม่น้องสาว ^^

.

.

เชื่อแล้วล่ะว่าญี่ปุ่นนี่ เห็นเทศกาลพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญมากๆ
เพราะว่ามีเวปไซต์อัพเดทการบานของดอกไม้ วันต่อวันกันเลยทีเดียว
นอกจากจะเรื่องดอกไม้บานแล้ว ก็ยังมีเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีช่วงฤดูใบไม้ร่วงด้วย
จะเรียกว่าเอาใจนักท่องเที่ยวให้แพลนวันเที่ยวได้สะดวก หรือว่าเอาใจประชาชนที่ตั้งหน้าตั้งตารอดีนะ
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่การพยากรณ์ของญี่ปุ่นที่เค้าว่ากันว่าแม่นแบบเป๊ะๆแบบนี้
ก็สร้างความหวังให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ

Location Opening Estimated Best Viewing
Tokyo Opened March 22 March 28 to April 11

วันที่ 10 เจอกัลล์ โฮะๆๆๆๆๆๆ

รอหน่อยนะซากุระจ๋า
ภาพนี้ ลูลิจะไปเก็บมาด้วยตัวเองให้ได้!!!!!!!

PS. ไปร่วมลุ้นซากุระบานด้วยกันได้ที่ http://www.japan-guide.com/e/e2011.html จ้ะ ^^

 

► บทที่ 2 :: ไปญี่ปุ่น ขอวีซ่าใครว่ายาก ^^

,, เคยได้คุยกับคนที่อยากจะไปญี่ปุ่นอยู่บ่อยๆ แล้วก็ต้องมาสะดุดกับคำว่า “เค้าว่าขอวีซ่าญี่ปุ่นยากนี่นา”
ยากจริงมั๊ย.. จริงๆก็ไม่รู้สึกว่ายังงั้นเลยซักนิด – -;
ตอนแรกก็คิดว่า เอ๊ะ..เพราะว่าเราไปมาหลายทีแล้วมันเลยง่ายรึเปล่า?
แต่ครั้งนี้ก็หอบหิ้วน้องชายที่เพิ่งไปครั้งแรกไปด้วย มันก็ง๊ายง่ายแบบไม่เห็นต้องทำอะไรเหมือนกัน = =’

สำหรับคนที่เคยไปประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว ไม่ว่าจะไปกับทัวร์หรือว่าไปเอง
อันนี้ต้องขอบอกว่า วีซ่าญี่ปุ่น จะง่ายเป็นปอกกล้วยเข้าปากเลยล่ะค่ะ ^^
เอกสารสำคัญที่ต้องเตรียม แทบจะเรียกได้ว่า ยื่นพาสปอร์ตแล้วก็ได้เลยยังไงยังงั้น (อันนี้ก็เวอร์ 555+)
จุดนี้เดี๋ยวจะค่อยๆเล่าให้ฟังว่าใช้เอกสารอะไรยังไง
ขอเล่าถึงเรื่องวุ่นวายในการเตรียมเอกสารก่อนดีกว่า (คนเดียว แต่เตรียมให้ทั้งบ้าน มันก็ยุ่งฉะนี้แล~)

วีซ่าญี่ปุ่นมันจะแบ่งออกเป็นชนิดย่อยๆหลายๆประเภทค่ะ
นอกจากวีซ่าระยะสั้น ระยะยาว และขอเข้าหลายที (Multiple) แล้ว ก็ยังแยกย่อยออกเป็น
หมายเลข  1  – ท่องเที่ยว เยี่ยมเพื่อน หรือคนรู้จัก
หมายเลข  2  – เยี่ยมญาติ
หมายเลข  3  – ธุรกิจ
หมายเลข  4  – ธุรกิจ แบบ Multiple (การเดินทางหลายครั้ง)
หมายเลข  5  – แบบ Multiple สำหรับผู้เกี่ยวข้องด้านวัฒนธรรม
หมายเลข  6  – ทรานซิท
หมายเลข  7  – แบบ Multiple สำหรับผู้ที่เคยถือสัญชาติญี่ปุ่นในอดีต
หมายเลข  8  – พำนักระยะสั้น สำหรับ “คู่สมรสชาวญี่ปุ่น”
หมายเลข  9  – สำหรับผู้ที่ได้รับใบสถานภาพการพำนัก (ยกเว้น Entertainer และ Skilled Labor)
หมายเลข 10 – “Entertainer” และ “Skilled Labor” ที่ได้รับใบสถานภาพการพำนัก
หมายเลข 11 – สำหรับ “Entertainer” ที่ไม่ได้รับใบสถานภาพการพำนัก
หมายเลข 12 – สำหรับ “คู่สมรสชาวญี่ปุ่น” ที่ไม่ได้รับใบสถานภาพการพำนัก
หมายเลข 13 – JICA และ AOTS

โอ๊ะ เยอะแยะตาแป๊ะเป็นลม = =’
ซึ่งแต่ละแบบ ก็จะมีเอกสารที่ต้องเตรียมแยกย่อยกันออกไปค่ะ
ในที่นี้จะขอพูดแต่วีซ่าท่องเที่ยว หรือหมายเลข 1 เท่านั้น วีซ่าอื่นๆ อ่านรายละเอียดได้ในเวปไซต์ของสถานฑูตญี่ปุ่นค่ะ

ส่วนเอกสารที่ทางเวปไซต์ของสถานฑูตญี่ปุ่นบอกเอาไว้ ก็จะมีแค่
1. หนังสือเดินทาง (passport)
2. ใบคำ้ร้อง สามารถดาวโหลดได้จากเวปของสถานฑูต (ที่นี่)
3. แบบสอบถาม
4. รูปหน้าตรง พื้นหลังสีสว่าง ขนาด 2×2 นิ้ว 1 รูป
5. ทะเบียนบ้าน ตัวจริงและสำเนา
6. หนังสือรับรอง (เป็นนักเรียนก็รับรองการเป็นนักเรียน ทำงานก็รับรองว่าทำงาน)
7. สมุดบัญชี ตัวจริงและสำเนา

เค้าบอกเอาไว้แค่นี้… น้อยนิดเดียวใช่มั๊ยคะ
น้อยกว่าเวลาไปอเมกา หรือยุโรปมากมายเลย แต่ก็ใช้เท่านี้จริงๆค่ะ

ลูลิจำได้ว่าเวลาไปทำวีซ่ายุโรป สิ่งที่จะต้องแนบไปด้วย ก็คือแผนการท่องเที่ยวของเรา ที่พัก แล้วก็ตั๋วเครื่องบิน ด้วย
ด้วยความพร้อมสุดๆ ของลูลิ ก็เลยแนบไปทั้งหมดนั่นแหละค่ะ ขอ extra ไว้เป็นอุ่นใจ
ใบจองโรงแรม ตั๋วเครื่องบิน แผนการท่องเที่ยว บลาๆๆๆ
ปรากฎว่าคุณเจ้าหน้าที่ส่งคืนมาหมด ก็บอกแล้วว่าขอแค่ไหนก็จะใช้แค่นั้น = =’
*
สถานฑูตญี่ปุ่นเตือนว่า ให้ขอวีซ่าผ่านก่อนค่อยจองโรงแรมกับตั๋วเครื่องบินค่ะ
เพราะว่ามันไม่มีส่วนในการพิจารณา ถ้าหากว่าวีซ่าไม่ผ่านจะเป็นการเสียเงินไปฟรีๆ โหยยยย… จะขู่กันทำไมเนี๊ยะ!!

.

.

ในส่วนของลูลิ เตรียมเอกสารค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อย
เพราะ 3 คน 3 แบบ
ลูลิเรียนจบแล้ว แล้วก็ไม่ได้ทำงาน (รอไปเรียนต่อ) ใช้เอกสารแบบนึง
น้องชายเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว ก็ใช้เอกสารแบบนึง
น้องสาวยังเรียนอยู่ ก็ใช้เอกสารแบบนึง
แต่ทั้ง 3 แบบที่ว่ามา ก็ใช้ต่างกันแค่ “ใบรับรอง” นี่ล่ะค่ะ

ของลูลิแอ๊บเอาว่าทำงานในบริษัทของที่บ้าน ก็เลยเีขียนใบรับรองเอง แล้วก็ให้รองประธานกรรมการ (หม่อมแม่) เซ็นให้
ตอนแรกว่าจะยื่นแบบว่างงาน แต่ก็เข้าข่ายน่าสงสัยเกินไปนี๊ดส์นึง เลยเลือกทางที่เซฟกว่าจะดีกว่า
(แต่นี่ก็ไม่ได้โกหกนะ ก็ทำงานให้ที่บ้านจริงจรี๊งงงงงง)
สมุดบัญชีที่ยื่น ก็เป็นของตัวเอง เล่มไหนเงินเยอะสุดก็ยื่นเล่มนั้นล่ะ!!

น้องชายนี่ไม่มีปัญหาอะไร เพราะให้ที่ทำงานออกใบรับรองให้
ไม่รู้ว่าตอนที่ไปบอกว่าจะลาไปเที่ยว จะโดนหัวหน้าเขม่นบ้างป่าว เพราะเพิ่งทำงานปีแรกก็ลาซะละ
(นี่เจริญรอยตามพี่สาวมันม๊ากกมากก ตอนลูลิทำงานปีแรกก็แบบนี้เล้ย ลาทีเดียว 13 วัน 555+)

ส่วนน้องสาว ติดฝึกงานไปขอใบรับรองเองที่มหาลัยไม่ได้
มันบังคับให้ลูลิใส่ขุดนิสิตไปขอให้ – -;
บ๊ะ.. อิชั้นนี่ก็อายุอานามเกินมาตั้งกี่ปีแล้ว ให้ไปใส่ก็เิขินๆอยู่นะ
เลยตัดสินใจไปชุดไปรเวทนี่ล่ะ ไม่ให้จะเม้งแตกให้ ก็เด็กมันมาไม่ได้แล้วจะให้มาได้ยังไง!!
แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี รอดจากการเม้งไปได้อย่างหวุดหวิด ><
แต่สำหรับเด็กน้อยที่ยังหาเงินไม่ได้ ส่วนที่ต้องเพิ่มมาอีกนอกจากใบรับรองนักเรียน ก็คือใบรับรองการทำงานของผู้ปกครองค่ะ
ของน้องสาวใช้ใบรับรองข้าราชการของพ่อ กับบัญชีของพ่อที่จะให้น้องเอาไปใช้

.

.

แ้้ล้วก็ถึงวันยื่นขอวีซ่า วันพุธที่ 31 มีนาคม
การยื่นขอวีซ่า มีข้อยกเว้นนิดหน่อย ก็คือคนที่ไม่เคยไปเลยจะต้องไปยื่นด้วยตัวเอง
ส่วนคนที่เคยไปแล้วภายใน 5 ปี สามารถให้ตัวแทนมายื่นให้ได้
(อันนี้คือกรณีไปเองนะคะ ถ้าไปกับทัวร์เค้าจะยื่นให้อยู่แ้ล้ว)
งานนี้ก็เลยไปกันกับน้องชาย (ไอ้ครั้นจะปล่อยไปคนเดียวก็กลัวไม่ได้เรื่องนี่นะ -*-)
* สถานฑูตเปิดให้ขอวีซ่า จันทร์-ศุกร์ 8:30-11:15 ค่ะ แต่ไปก่อนก็ดีคนน้อยก็ไม่ต้องรอนานค่ะ

เมื่อเดือนตุลาที่ผ่านมา เพิ่งไปทำวีซ่าเป็นเพื่อนแม่ ตอนนั้นอาจจะเป็น low season คุณยามรีบโบกให้เข้าไปจอดรถข้างในเลย
แต่มาครั้งนี้ ไล่เป็นหมูเป็นหมา ให้ไปจอดรถที่สวนลุมไนท์ฯ ซึ่งก็ขูดเลือดมากคันละ 40 บาท มันเกินไปป่ะเนี๊ยะ!!!!!
(เพิ่งมารู้ทีหลังตอนมาเอาวีซ่า ว่าไปจอดซอยถัดไปไม่เสียตัง ชิ = =)
จ่้าย 40 บาทอย่างเซ็งๆ แล้วก็เดินตากแดด ร้อนมว๊ากกกกกกกกกก เข้าไปข้างใน
ด้านหน้ามีการตรวจบัตรประชาชนก่อน (ตรวจทำไม -*-)
เข้าไปข้างใน ก็เป็นเครื่องแสกนตัว และแสกนกระเป๋า (เหมือนสนามบินน่ะนะ)
แล้วก็เข้าไปอีกชั้น ก็จะเจอสวนญี่ปุ่นสไตล์โมเดิร์นน่ารักๆข้างหน้า กับห้องกระจกอีก 2 ห้อง
เข้าห้องขวาที่เขียนว่า VISA นะคะ  ถ้าเข้าห้องซ้ายจะโชว์โง่แบบลูลิ T^T

ในห้องขวา เป็นห้องใหญ่โต มีเคาท์เตอร์อยู่ประมาณ 8 ช่อง (ด้านหลังอีก 2 ช่อง)
มีเก้าอี้ให้นั้งรอเป็นตับ แต่ก็ไม่พอกับจำนวนคนหรอกมั๊ง เพราะเห็นก็ยืนพิงข้างฝารอกันเยอะอยู่
เข้าไปก็กดบัตรคิวค่ะ A คือมาทำวีซ่า B คือมารับ ส่วน C คือมาปรึกษา
มองบัตรคิวในมือ “A326” ถอนหายใจ 1 เฮือก.. นานเชียะ = =’ แล้วก็ไปหาที่ันั่ง

นาน น๊านนน นานนนนนน จนเสียงยืดๆของเครื่องอัตโนมัต ปลุกให้ลูลิตื่นจากภวังค์
“บัตรคิวหมายเลข A326 เชิญที่ช่อง 2 ค่ะ”
ที่เคาท์เตอร์เป็นคุณลุง ที่หน้าเหมือนจะญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ ไทยก็ไม่เชิง แต่ก็ใจดีม๊ากมาก
คุณลุงตรวจเอกสาร แ้ล้วก็คัดทิ้งตามที่เล่าให้ฟังตอนแรก
นอกจากใบจองโรงแรม ตั๋วเครื่องบิน และรายการทัวร์แล้ว สิ่งที่คุณลุงคัดถัดมา ก็คือ
“สมุดบัญชี” ของลูลิกับน้องสาว..
คุณลุงบอกว่า “เคยไปแล้วไม่ต้องแสดงสมุดบัญชี” … หื๊ออออออออออ ไม่ค่อยเข้าใจหรอกค่ะ แต่ก็เออ ออ ไป ><

สำหรับที่บอกว่าคุณลุงใจดี ก็เพราะว่า
ลูลิงกไงคะ เลยถ่ายรูปเอง แล้วก็ปริ๊นใส่กระดาษโฟโต้ไป
ขนาดมันก็เลยใหญ่มั่งเล็กมั่ง …. -*-
คุณลุงแกก็บ่น ทำไมถ่ายที่เดียวกันรูปใหญ่ไม่เท่ากัน สว่างไม่เท่ากัน
แล้วก็ให้เอารูปที่พกไป เอามาดูว่ารูปไหนเวิร์คสุด แถมยังตัดแปะทากาวให้เสร็จสรรพ
ดีนะปริ๊นไปหลายใบ = =
* ทางที่ดีที่สุดสำหรับคนงก คือถ่ายเองก็ได้ค่ะ แต่เอาไปอัดที่ร้านจะดีกว่า ใบละ 2 บาทเอง ^^

หลังจากยื่นเอกสารไปเรียบร้อย ก็กลับมานั่งรอใบรับ
ซัก 10 นาที ก็จะมีเสียงประกาศ (ทีนี้เป็นเสียงคนค่ะ ไม่ใช่เครื่องอัตโนมัติแล้ว)
“บัตรคิวหมายเลข 305, 307, 318, 319, 320, 322, 323, 326 ติดต่อช่องหมายเลข 10 ค่ะ”
ทุกคนก็จะกรูกันไปที่ช่องทางด้านหลัง ก็เข้าคิวเรียง 1 นะคะ
ยื่นบัตรคิวให้เค้า แล้วก็รับใบฟังผลมา
ในนั้นจะมีสติกเกอร์แปะเอาไว้ว่า เรามีพาสปอร์ตกี่เล่ม แล้วก็เขียนบอกไว้ว่าต้องจ่ายเงินเท่าไหร่
ของลูลิมี 3 เล่ม แต่ต้องจ่ายเงิน 2,000 บาทถ้วน
งงเต้ก… = =? เลยเดินกลับไปเข้าคิวถ่ามอีกรอบ ได้ความว่า “นัักศึกษาปริญญาตรีได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมค่ะ”
โฮกกกกกกกกกกก ทำไมตอนเราปริญญาตรี ไม่ได้รับการยกเว้นบ้างงงงงงงงงงง
* หมายเลขที่โดนข้ามไป อาจจะเป็นเพราะว่าเอกสารมีปัญหา เดี๋ยวเค้าจะเรียกกลับเข้าช่องเองค่ะไม่ต้องห่วง
** จริงๆค่าธรรมเนียมในเวปเขียนไว้ว่า 1,080 บาท แต่ไม่รุ้ว่าค่าเงินบาทมันกำลังแข็งรึเปล่า หรือไม่ก็ช่วงนี้มีโปรโมชั่น 555+

เราสองคนมองใบรับในมือ แล้วก็กลับบ้านกันอย่างสบายใจ (ไม่ได้มีความรู้สึกว่ามันจะไม่ผ่านเล้ยย 555+)
ใบฟังผลบอกเอาไว้ว่า ให้มารับวันศุกร์ที่ 2 เมษายน เวลา 13:30 – 16:00

.

.
วันศุกร์ก็ไปรับวีซ่าตามใบนัด รถติดนิดหน่อย เพราะเสื้อแดงไปสถานฑูตอเมริกาที่อยู่ใกล้ๆกันพอดี
แถมด้วยเสื้อชมพู นัดชุมนุมกันที่ลานพระรูป รัชกาลที่ 6 อีก
(อันตัวเราก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว ใส่เสื้อชมพูไปกับเค้าอีก กลัวโดนตีหัวชะมัด 5555+)
* ฟังผลและรับพาสปอร์ตคืนได้ในวันตามในบัด เวลา 13:30 – 16:00 ค่ะ

ครั้งนี้ก็โดนไล่ไม่ให้เข้าจอดในสถานฑูตอีกตามเคย แต่ก็ไม่จอดที่เดิมแล้วล่ะ 40 บาทนี่ทำใจไม่ได้นะ -*-
ไปจอดไกลหน่อย เดินเยอะหน่อย ถือว่าซ้อมไว้ไปเดินที่นุ่นละกัน ^^
เข้าสถานฑูตด้วยสเตปเดิม ห้องเดิม แต่กดบัตรคิวที่ B แล้วก็นั่งรอเหมือนเดิม
ช่วงบ่ายแ้ล้ว แต่ก็สังเกตุได้ว่า บัตรคิว A ก็ยังคงรันไม่หมด (คงมาช่วง 11 โมงละมั๊ง)
แต่เคาท์เตอร์ก็ปิดไปเกือบหมดแล้ว เหลือแต่ 2 ช่องแรก แล้วก็เปิดอีก 2 ช่องให้เป็นช่องรับพาสปอร์ตคืนเท่านั้นเอง

รับพาสปอร์ตต่างจากตอนยื่นนิดหน่อย ตรงที่จะเรียกบัตรคิวทีละ 10 คน
เข้าคิวเรียง 1 เหมือนทุกที แต่ใน 10 คนนี้ ใครมาก่อนก็ได้ก่อนไป
ส่วนมากคนที่รับพาสปอร์ตมาแล้ว ก็จะหยุดยืนเปิดๆหาว่าวีซ่าตัวเองผ่านรึเปล่า
ลูลิก็มัวแต่นั่งยิ้มกับท่าทางที่แต่ละคนแสดงออก จากเกือบพลาดว่าถึงคิวของตัวเองแล้ว = =’

*ยื่นใบเข้าไปในช่อง*
“2,000 บาทค่ะ” พนักงานกรอกเสียงตามไมค์มาว่างั้น
*ยื่นแบงค์พันเข้าไป 2 ใบ*
“พาสปอร์ต 3 เล่มชื่ออะไรบ้างคะ” คุณพี่พนักงานพลิกดูตามชื่อที่ลูลิบอกไป แล้วก็ยื่นกลับออกมา
“เรียบร้อยค่ะ”
เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี

ก้าวออกมาจากเคาท์เตอร์ ลูลิก็ทำเหมือนที่ทุกคนทำนั่นแหละค่ะ
คือพลิกดูว่าวีซ่าผ่านมั๊ย ซึ่งก็แน่นอนว่าผ่าน ^^
แต่ที่ทำให้ต้องยิ้มออกมาคือ วีซ่ามันเปลี่ยนแบบใหม่ สวยเชียวล่ะ ชอบแบบนี้จัง ><


ไม่มีเครื่องแสกน ถ่ายรูปเอาก็เลยออกมาโหลดโท่ยแบบนี้แหละ แฮ่ๆๆ ><

วีซ่าพร้อม ตั๋วเครื่องบินพร้อม ที่พักพร้อม!!
ก็เหลือแค่ ตัวช่วยประหยัดเงินอย่าง JR pass เดี๋ยวค่อยไปซื้อ ได้ข่าวว่าใบละหมื่น ไปหาเงินก่อน
ชะว๊าบบบบบบบ~

เอกสารที่ ใช้ในการยื่นขอวีซ่าญี่ปุ่น

เพื่อ การท่องเที่ยว (วีซ่าประเภทการ พำนักระยะสั้น)
1. หนังสือเดินทางที่ไม่มีตราประทับมากกว่า 2 หน้าขึ้นไป หากมีหนังสือเดินทางเล่มเก่า กรุณานำมาแสดงด้วย
2. ใบคำร้องขอวีซ่า 1 ใบ
3. รูปถ่าย (ขนาด 2 x 2 นิ้ว สี/ขาวดำ พื้นหลังสีอ่อน ไม่มีลวดลาย ไม่มีการแต่งภาพถ่าย จะต้องเป็นรูปถ่ายที่ชัดเจน ถ่ายมาไม่เกิน 6 เดือน) 1 ใบ
4. แบบสอบถามเพื่อการยื่นขอวีซ่า
5. ทะเบียนบ้าน ฉบับจริงและสำเนา 1 ชุด
6. หนังสือรับรอง ดังนี้

» ในกรณีที่ผู้ยื่นเป็นพนักงานหรือข้าราชการ

ให้แสดงหนังสือรับรองการทำงานจากหน่วยงานที่สังกัด (ให้ระบุตำแหน่ง, วันเริ่มทำงาน, อัตราเงินเดือน และระยะเวลาวันลาพักร้อน)

» ในกรณีที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว

ให้แสดงหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัทหรือทะเบียนการค้าจากกระทรวงพาณิชย์

» ในกรณีนักเรียนนักศึกษาที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป

ให้แสดงหนังสือรับรองสถานภาพการเป็นนักเรียน นักศึกษา และหนังสือรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัทหรือทะเบียนการ ค้าของผู้อุปการะ

» ในกรณีผู้อยู่ภายใต้อุปการะเลี้ยงดู

เช่น แม่บ้านที่ไม่ได้ทำงาน ให้แสดงหนังสือรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัทหรือทะเบียน การค้าของผู้อุปการะ

(เอกสารทุกอย่างจะต้องออกไม่เกิน 3 เดือน, ในกรณีที่ผู้ยื่นไม่มีอาชีพ หรือประกอบอาชีพที่ไม่สามารถแสดงหนังสือรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองจด ทะเบียนบริษัท หรือทะเบียนการค้าได้กรุณาทำหนังสืออธิบายอาชีพและรายได้ โดยละเอียด) ฉบับจริง 1 ชุด
7. ผู้ที่เดินทางเป็นครั้งแรก หากเคยเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล หรือผู้ที่ได้เปลี่ยนชื่อตัวหรือสกุลหลังจากเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งที่แล้ว ให้เตรียมเอกสารแสดงการเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล เช่น ใบเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล, ใบสำคัญการสมรส, ใบสำคัญการหย่า ฉบับจริงและสำเนา 1 ชุด
8. สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร(ของผู้ยื่นคำร้องหรือของผู้อุปการะ) ฉบับจริงและสำเนา(ทุกหน้า)1 ชุด (ใช้สำหรับยื่นในกรณีที่ผู้ยื่นเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย ตัวเอง ยกเว้นสำหรับผู้ยื่นที่เป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัทที่จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งมีอัตราเงินเดือนตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไปและสามารถตรวจสอบได้จากหนังสือรับรองการทำงาน ไม่ต้องยื่นสมุดบัญชีธนาคาร ทั้งนี้รวมถึงการยื่นสำหรับครอบครัวในความอุปการะของบุคคลดังกล่าวด้วย)