Follow my soul ,, ♥

เขียนไปเท่าที่ใจอยาก

► Nippon’10 Day02-1 :: นั่งรถไฟเข้าเมือง และสงครามกับตู้ฝากกระเป๋า April 25, 2010

,, 10 เมษายน 2553

หลังจากที่ล้างหน้า แปรงฟัน โบ๊ะใหม่จนสวยเช้ง(?)แล้ว เราก็เข็นกระเป๋าออกสู่โลกภายนอกกกันซะที!!
(ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัว ในห้องน้ำที่อยู่ในส่วนรับกระเป๋าค่ะ เพราะสัมภาระคงดูแลง่ายกว่าออกไปข้างนอกแล้ว)
ยื่นใบศุลกากรให้หน้าประตูทางออกของส่วนที่รับกระเป๋า (อย่างที่บอกคือ 1 ครอบครัว เขียน 1 ใบก็พอ)
คุณพี่เจ้าหน้าที่ก็มองใบ แล้วก็มองหน้ารายคน.. “Family?” เออเดะ หน้าโขลกกันมาขนาดนี้ = =’
“ฮาว ลง วิว ยู สเต เฮี๊ย?” งงไป 2 วูบ…. เอ่อ อ่า มันพูดอะไรวะ ถามว่าอยู่นานเท่าไหร่ป่ะ
“9 days” เก๊กหน้าเซล์ฟตอบไป
“อืม สะดีดิ๊ง?” …… ห๊ะ!! -{}- ภาษาต่างด้าวเหรอแว๊ = =” หันไปสะกิดน้อง มันพูดว่าไรอะ Sightseeing ป่ะ TOT
“Yes, for sightseeing” ยังคงเก๊กตอบไป แต่เหงื่อหยดลงมา 2 เม็ด
ใจเต้นตึกตัก.. ไม่ได้กลัวไม่ผ่านนะ กลัวมันถามอะไรอีกตะหาก
“พลีด” (เสียงต่ำ) พร้อมผายมือไปทางประตู
เอ่อ อ่า… แปลว่าตูไปได้แล้วชิมิคะ.. กวักมือเรียกน้อง ไอ้เสือ!! ไปเว้ย!!!
ยัตต้า~~~ สวัสดี นิปปอนจ้าาาาา \^O^/

.

.

หลังจากผ่านด่านภาษาต่างดาวมาแล้ว ต่อไปก็คือ
เราต้องไปทำการแลก JR Pass ของเรา กับซื้อตั๋ว  Tokyo metro 1day pass กันซะก่อน
อันที่จริงแล้ว JR Pass แลกวันไหนก็ได้ค่ะ แต่ว่ามีความรู้สึกว่า
“รีบแลกก็ดีนะ ดีกว่าเป็นกระดาษบางๆไม่ค่อยมั่นใจ -*- ”
ส่วน Metro 1day pass นี่ จะเป็นบัตรขึ้นรถไฟใต้ดินของบริษัทเมโทรโตเกียว  (ขึ้นได้ 7 สายจากทั้งหมด 11 สาย)
ขึ้นได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ใน 1 วัน ราคา 710 เยน
แต่ถ้าหากว่าซื้อที่สนามบินนาริตะ จะซื้อได้ในราคา 600 เยนสำหรับ 1 วัน และ 980 เยนสำหรับ 2 วันค่ะ
บูธจะอยู่ชั้นเดียวกับทางออกจากที่รับกระเป๋า ออกมาแล้วเดินมาทางซ้ายอีกนิด ก็จะเจอบูธตั้งอยู่ค่ะ

* สำหรับบัตร 1 day pass สำหรับทั้ง 2 บริษัท (ขึ้นได้ทั้ง 11 สาย) ก็มีค่ะ ราคา 1000 เยน
ส่วนตัวลูลิคิดว่าเวิร์คกว่าเยอะนะคะ เพราะว่าครั้งนี้เกิดงกจะประหยัดขึ้นมา
ทำให้ได้รู้ว่า แค่สายโตเกียวสมารถไปทุกสถานที่ท่องเที่ยวอย่างที่เค้าคุยไว้จริงๆค่ะ
แต่ว่า… มันนั่งอ้อมมากกกกก ถ้ามีเวลาก็ไม่ว่ากัน เพราะถือว่าเป็นการนั่งพักด้วย
แต่สำหรับคนที่มีเวลาจำกัด ขอบอกว่า ซื้อแบบ 2 บริษัทเถอะค่ะ ชีวิตคุณจะง่ายขึ้นอีกเยอะ
ลูลิซื้อแบบบริษัทเดียว แต่สุดท้ายก็ทนอ้อมไม่ไหว ต้องซื้อของโทเอ ไม่ก็ JR เสริมทุกที = =’

ส่วน JR Pass ต้องลงไปชั้นใต้ดินก่อน (ลงลิฟท์โลด ชั้นล่างสุดเลยค่ะ)
เดินออกมานอกประตูสนามบินแล้วมองไปทางซ้ายมือ จะเห็นห้องกระจกติดป้าย Japan Railways เอาไว้ค่ะ
ส่วนทางขวามือ ก็จะเป็นบูธสำหรับจองตั๋ว Keisei line ที่จะพูดถึงต่อไปค่ะ

การแลกบัตร JR pass ก็ไม่ได้ยากอะไร
ใช้แค่คูปองที่ได้รับมาจากตอนซื้อที่ประเทศไทย แล้วก็พาสปอร์ต เท่านั้นเอง
จากนั้นเค้าก็จะให้เรากรอก ว่าเราจะเริ่มใช้วันไหน หมดอายุวันไหน
แล้วก็จะเอาข้อมูลพวกนั้นไปเขียนลงในบัตร JR pass ของเราค่ะ
ชื่อ นามสกุล สัญชาติ แล้วก็วันเริ่มใช้ แล้ววันหมดอายุตัวบะเริ่ม!!
รับมาอาจจะงงนิดหน่อย ปีนี้มันปี 22 เหรอว๊า… ไม่ต้องงงค่ะ มันเป็นปีของญี่ปุ่นเค้าล่ะ
(เชื่อแระ ว่าชาตินิยมจริงๆ ^^”)

.

.

ต่อไปก็คือเราจะเข้าเมืองกันแล้วค่ะ
ตามข้อมูลที่ศึกษามาวิธีเข้าเมืองก็มีอยู่หลายวิธีทีเดียวค่ะ
1.ลีมูซีนบัส เป็นรถบัสที่กว้างใหญ่สะดวกสบาย แบกเอากระเป๋าใบยักษ์ไปกับเราได้ด้วย
รถจะไม่จอดแวะที่ไหนเลยนอกจากปลายทางเท่านั้น เพราะฉะนั้นขึ้นให้ถูกคันนะคะ 55+
ซื้อตั๋วได้ที่บูธเดียวกับซื้อบัตร 1day pass ของรถไฟใต้ดินค่ะ
ราคาไปถึงอิเคบุคุโระ / ชินจุกุ / ชิบุยะ / สถานีโตเกียว 80-90 นาที ค่าโดยสาร 3,000 เยนค่ะ
(มีไปที่อื่นในจังหวัดใกล้เคียงได้อีกค่ะ ค่าโดยสารแพงขึ้นอีกนิด)

2.แทกซี่ ไม่ขอพูดถึง เพราะแพงจนรับไม่ได้ -*- (ประมาณ 25,000 เยน) นั่งทีเดียวไม่ต้องเที่ยวไปอีก 4 วัน -*-

3.รถไฟด่วน JR Narita express สำหรับผู้เปิดใช้ JR Pass ตั้งแต่วันแรก
ไปได้ถึงสถานีปลายทางในโตเกียว คือสถานีโตเกียว สถานีชินจุกุ และสถานีอิเคบุคุโระ แล้วก็โยโกฮาม่าด้วย
แต่บังเอิญว่าลูลิยังต้องเก็บวัน JR Pass ไปเที่ยวฮิโรชิม่าในวันท้ายๆ เพราะฉะนั้นต้องยอมลำบากหน่อย
(ใช้เวลาแค่ 60 นาทีก็ถึงสถานีโตเกียวแล้ว ค่าโดยสาร 2,940 เยน  และ 80 นาทีถึงสถานีชินจุกุ 3,110 เยน)

4.รถด่วนและเร็ว Keisei เหมาะสำหรับผู้ไม่ได้ใช้ JR Pass และยากจนอย่างลูลิเป็นที่สุด 5555+
ด้วยราคารถเร็วแค่ 1,000 เยน (75 นาที) และ รถด่วน 1,920 เยน (60นาที) ก็ถึงสถานีอุเอโนะแล้ว
สามารถไปต่อกับ JR Yamanote (รถไฟฟ้าในโตเกียว) ได้ที่สถานีนิปโปริ (Nippori) และ อุเอโนะ (Ueno)
ลูลิขอเลือกที่ชอยส์นี้แหละค่ะ บูธขายตั๋วก็อยู่ใกล้ๆนี่แล้ว ไปเลยดีก่า…

เพราะเครื่องบินดีเลย์ แถมยังงกๆเงิ่นๆ หาบูธนู่นบูธนี่ กว่าจะเจอสถานี กว่าจะลากกระเป๋าลงมาถึง
ดูเวลาจิคะ 11 โมง 4 นาที.!!! ทั้งๆที่ตามกำหนดการณ์เดิม เราจะออกจากนาริตะ 8 โมงเช้าแท้ๆ!! ฮืออออ T^T


สถานีจะมีป้ายบอกเอาไว้ด้วย ยืนรอตรงนี้จะรถสายไหนมาจอด
รถคันไหนไปไหน จอดตรงไหน มีภาษาอังกฤษค่ะ ไม่ต้องกลัว ^^
สำหรับลูลิ ต้องขึ้นรถ No.8 ไปอุเอโนะค่ะ


หน้าตารถสาย Keisei เหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราล่ะค่ะ นั่งหันหน้าเข้าหากัน (หันหลังให้กระจก)
ลำบากนิดหน่อยตรงที่กระเป๋ามันล๊อคล้อไม่ได้ค่ะ เวลาจอดทีกระเป๋าไหลที กรี๊ดกร๊าดตลอด สงสารคนข้างๆ ><

ระหว่างทางมัวแต่นั่งเขียนบันทึก กับชื่นชมธรรมชาติอันงดงามระหว่างทาง (เห็นซากุระที ก็ฮือฮาที)
เลยไม่ได้เก็บภาพอะไรมาฝากกันนะคะ ><
ตรงข้ามเป็นครอบครัวเกาหลีอ่ะ หยิบกล้องมาถ่าย เด๋วหาว่าแอบถ่ายเค้า ฮ่าๆๆๆๆๆ

.

.

เดินทางมาถึงสถานีอุเอโนะ.. ตามแผนที่วางเอาไว้ จะเที่ยวอุเอโนะก่อน โดยการฝากกระเป๋าไว้ในตู้รับฝาก
แล้วก็ค่อยเข้าโรงแรม แล้วก็ไปต่อกันที่ฮาราจุกุในตอนเย็นๆ
ก็เลยมาลงกันที่สถานีอุเอโนะ
แต่รอบๆสถานีนั้นมีแต่ตู้ฝากของขนาดเล็ก 30×30 ซม.เองมั๊ง
ไปถามนายสถานี ก็ได้ความว่าตู้ใหญ่อยู่ข้างใน ต้องจ่ายตังเข้าไปก่อนถึงจะเจอตู้
เราก็เลยตกลงใจกันว่า ไหนๆก็คงต้องเดินทางหลายที ก็ซื้อ JR 1 day pass ไปเลยละกันเนอะ!!

บัตร JR 1 day pass (JR 1-day tokyo rail pass / Tokunai pass) สามารถซื้อได้จากตู้กดอัตโนมัติเลยค่ะ
บัตรนี้จะทำให้วันนี้เราจะสามารถขึ้นรถไฟทุกขบวนของ JR ที่วิ่งในโตเกียวได้
(ถึงจะเอาเข้าจริงก็ขึ้นแต่ Yamanote ก็เหอะ -*-)
วิธีซื้อ ก็ไม่ยากเกินความสามารถ โดยก่อนอื่นเลย ก็กดให้มันเป็นภาษาอังกฤษก่อนเลยค่ะ
แล้วก็จิ้มๆลงไปที่หน้าจอได้เลย (เป็นระบบสัมผัส)
– เลือก Discount ticket
– เลือก Tokunai 1 day pass
– สอดแบงค์ หรือหยอดเหรียญลงไป
– กดเลือกว่ากี่คนกัน
– กดเลือกราคา (ปกติจะเป็น 730 เยน แต่ของลูลิเป็น 2190 เยน เพราะว่ามากัน 3 คนค่ะ )

* บัตร 1 day pass นี่ ไม่ว่าจะเป็น JR / Tokyo metro / Toie metro หรือจะอันไหนก็ตาม
ถ้าหากรู้สึกว่า วันนึงได้ขึ้นซัก 4 เที่ยวแล้วล่ะก็ ก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะค่ะ
ค่าโดยสารรถไฟ JR เริ่มต้นที่ 110 เยน ส่วน Subway เริ่มต้นที่ 160 เยนค่ะ
แล้วราคาก็จะเพิ่มขึ้นตามระยะทางที่มันไกลขึ้น
ยังไงถ้าหากว่าแพลนแผนการเที่ยวดีๆแล้ว บัตรนี้ก็อาจจะไม่จำเป็นเท่าไหร่
แต่สำหรับพวกจอมหลง และพวกเปลี่ยนใจกระทันหันอย่างลูลิ เจ้าบัตรนี้จะเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตทีเดียวล่ะค่ะ ^^

.

.

พอเข้ามาด้านในสถานีอุเฮโนะ… ว๊าวววววว ตู้เยอะไปหมดเลย!!
รีบกระวีกระวาดเข้าไปหาตู้ที่พอจะยัดกระเป๋าเราได้ แล้วก็จะได้ไปเที่ยวกันซักที
แต่……….
ทำไมล่ะ ทำม๊ายยยยยยยยยยยยยยย
กระเป๋าลูลิ (ใบสีฟ้า) มันอ้วนเกินไป ยัดเข้าตู้ไม่ได้
โฮกกก โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ ทำไมล่ะ ทำไมไม่ทำตู้ให้อ้วนขึ้นกว่านี้อีกนิดนึงเล่าาา!!!!


เทียบสเกล T^T


เทียบให้ดูกันชัดๆ มันอ้วนไป เยอะ!! เลยล่ะ
ใบขวาเป็นขนาด Maximun ที่จะเอามาสำหรับ Backpack นะคะ (ยังจะกล้าเรียกว่า Backpack = =’)
เจ้ายักษ์ของลูลินี่ ไม่ไหวจริงจัง สวย แต่หนัก แบกยาก แถมจะโคดเกะก
ฮืออออ T^T

ตู้รับฝากพวกนี้มีหลายขนาดค่ะ ตู้นี้เป็นตู้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดค่ะ (เค้าเรียกว่า”ใหญ่พิเศษ”แล้วแต่ก็ยังไม่พอ)
ค่าเช่าตู้จะขึ้นกับขนาดตู้ค่ะ ฝากได้นานที่สุดก็คือ 1 วัน (เปิดสถานี-เทียงคืน)
ขนาดเล็ก 300เยน / ขนาดกลาง 400เยน / ขนาดใหญ่ 500เยน
ส่วนใหญ่พิเศษอันนี้ 1000เยนค่ะ แต่ตู้บนคิดแค่ 500เยนนะ ถ้าหากว่าของใหญ่แต่ไม่หนัก ก็ใช้อันบนได้ค่ะ

รายละเอียดตู้รับฝาก (Locker)
รายละเอียด locker Credit SkyBox@Pantip ค่ะ

เพราะว่าไม่สามารถทำตามแผนเดิมได้ (เลทจากกำหนดการที่วางไว้ 5 ชม.แล้ว T^T)
เลยต้องตัดใจ เข้าโรงแรมก่อน เพื่อเอากระเป๋าไปเก็บให้เรียบร้อย
แล้วค่อยนั่งรถกลับมาเดินเทียวที่อุเอโนะกันใหม่ เฮ่อออออ….
ไม่ติดใจเรื่องค่ารถ (เพราะเรามี 1day pass แร๊น ><)
แต่.. Ueno กับ Ikebukuro ห่างกันแบบคนละฝั่งของเมืองเลย ต้องนั่งรถตั้ง 16 นาที T^T
เสียเวลาชะมัดยาดดดดดดดดดด เซ็งจริง!!

เอากระเป๋าไปเก็บ แล้วค่อยมาเที่ยวกันใหม่นะคะ (*ยิ้มเจื่อน*)

To be continue…

.

.

Edit :: เพิ่งเห็นว่าโลโก้บนรูปใส่ชื่อสถานที่ผิด ฮ่วย = =’ ช่างมันเหอะเนอะ ขี้เกียจแก้แล้วง่ะ = =’