Follow my soul ,, ♥

เขียนไปเท่าที่ใจอยาก

► Let’s go Canada,, กระเหรี่ยง F1 จะขอวีซ่าแคนนาดา ที่สถานฑูตในแอลเอ December 14, 2011

,, “เราไปแคนนาดากันดีกว่า”… อยู่ๆ คุณคู่หูก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
หลังจากที่นั่งมองปฎิทินสลับกับค่าตั๋วเครื่องบินไปฟอริด้ากันอยู่นานสองนาน

เพราะว่าปิดเทอมที่นี่มันแสนสั้นค่ะ… พูดกันง่ายๆก็หยุด 1 อาทิตย์ ทุกๆ 3 เดือน
พอใกล้ปิดเทอม ทุกคนก็เลยจะกระเสือกกระสนหาที่เที่ยวกันเป็นการใหญ่
เข้าตำรา “เติมความชุ่มฉ่ำให้ชีวิต” ยังไงยังงั้น!!
สำหรับปิดเทอมที่กำลังจะถึงนี้ ลูลิมีแพลนเย้อออออออะไปหมด
จะไปนิวยอร์ค จะไปวอชิงตันดีซี จะไปบอสตัน……..
แต่ ประเทศไทยน้ำมันท่วมง่ะ ……. เลยกินแห้วไปยกทริป T^T
สุดท้ายก็มาลังเลๆ อยู่ที่ฟอริด้า — ไปดี ไม่ไปดี

เพราะมัวแต่ลังเล เวลาก็ใกล้เข้ามาแบบไม่เกรงอกเกรงใจกัน
ไม่ได้ห่วงอะไรหรอกค่ะ แค่ถ้าซื้อตั๋วใกล้ๆ มันจะแพงหูฉี่เท่านั้นเอง
สุดท้าย…. ค่าตั๋วอันอลังการงานสร้างก็ทำให้ต้องถอดใจ (yωy*)

แต่ถือว่าโชคยังเข้าข้างค่ะ….
เพราะว่าสิ้นปีแบบนี้ นอกจากมี vacation break ระหว่างเทอมแล้ว
ก็ยังมี Christmas break อีก 2 อาทิตย์
ยืดเวลาออกไปอีกหน่อย เลยลองกันใหม่อีกซักตั้ง!!

พอตัดสินใจดูรายละเอียดของฟอริด้าอีกที ก็….”เราไปแคนนาดากันดีกว่า”
คุณคู่หูเค้าว่างั้น พร้อมยกเหตุผลที่ยากจะปฎิเสธเข้ามาล่อ
ค่าตั๋วไป Vancouver, Canada ที่ถูกกว่าไปฟอริด้าเกือบครึ่ง!!
แถมยังมีข้อเสนอสุดพิเศษ “ที่พักฟรี!!”
ยะฮู๊วววววววววว ไปแคนนาดากันดีกว่าาาาาาาาาา (ใจง่าย 555+)

เราสองคนกดจองตั๋วเครื่องบินไปทางอินเตอร์เนต $387 ถ้วน
ถือว่าราคากลางๆไม่ถูกไม่แพงค่ะ เพราะบินแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง
พอเรามีตั๋วเครื่องบินอยู่ในมือ มีที่พักอยู่ใน(กำ)มือ
เราก็เริ่มต้นรวบรวมเอกสาร สำหรับขอวีซ่ากันค่ะ

.

.

แรกๆ ก็มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
อย่างที่ลูลิเคยบอกว่า ไม่หวั่นแม้จะเป็นสถานฑูตใดๆ (โม้อีก)
แต่บอกตามตรงว่า รอบนี้ก็แอบตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน
เพราะว่ามันต่างบ้านต่างเมือง เงินก็มีกระจิ๊ดริ๊ด เอกสารก็ไม่แน่นเหมือนตอนอยู่เมืองไทย
ร้ายถ่ายรูปติดบัตรก็ไม่มีอี๊กกกกกกกกก เจ้าประคุณทูนหัว ทำไมมันแลดูลำบากอย่างนี้หนอ!!

เริ่มแรกก็เลยต้องไปขอความรู้จากอากู๋(เกิ้ล)ซะหน่อย พอเป็นไอเดีย
ก็เลยเจอเวปของสถานฑูตแคนนาดาค่ะ
ในนั้นก็เหมือนเวปสถาฑูตอเมริกานั่นแหละค่ะ… บอกทุกอย่าง แต่ทำตามไม่ได้ = =’
(ไม่รู้ว่าเราไม่ค่อยฉลาดเอง หรือว่ามันทำไม่ได้เรื่องเหมือนกันเน๊าะ :P )
เวปไซต์: http://www.cic.gc.ca/english/index.asp

ลูลิอ่านข้างใจอย่างละเอียด ตะบี้ตะบันอ่านมันทุกหน้า
จนได้ใจความออกมาว่า
1.โหลดเอกสารไปกรอก
2.ส่งเอกสาร+เงินมาที่สถานฑูต (วอชิงตัน หรือ แอลเอ)
3.จะได้วีซ่าใน 30 วัน

อ่านมาถึงข้อสุดท้าย แทบกรี๊ด
วีซ่าบ้าอะไรใช้เวลาออกตั้ง 30 วัน… ลุ้นจนตัวเหี่ยวพอดี!!!
ไม่ไหวๆ ลองถามอากู๋(เกิ้ล) อีกที เผื่อมีทางอื่น
เรื่องขอวีซ่าในอเมริกานี่หายากมากกกกกกกกก
คงเป็นเพราะว่าคนอเมริกันเค้าไม่ต้องของวีซ่ากันมั้งคะ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีใครเค้าคุยกันเรื่องนี้
อ่านไปอ่านมา ก็เลยเจอในบลอคคนไทยอยู่คนนึงค่ะ (ขออภัยที่จำ URL ไม่ได้ T^T)
เค้าบอกว่า ไปทำตอนเช้า ตอนเที่ยงรับคืนเลย
บร๊ะแล้ว!! นี่แหละที่ต้องการ

ลูลิพยายามหาข้อมูลเรื่อง walk in ในเวปสถานฑูต แต่ไม่ยักกะเจอ = =
ก็เลยตัดสินใจ…. ลุย!! (นายแน่มาก 555)

.

.

แต่ก่อนจะลุยได้ เรามาเตรียมเอกสารกันก่อนดีกว่าค่ะ
เอกสารครั้งนี้ แปลกประหลาดกว่าที่เคยขอวีซ่ามาทั้งหมดเลยค่ะ
เพราะว่าทุกอย่างเป็นของตัวเองล้วนๆ แล้วก็ปริ๊นเอามาจากเนตทั้งนั้น
รายการเอกสารที่จำเป็น จะมีในใบ check list ดาวโหลดได้ในเวปสถานฑูตเลยค่ะ
*สามารถดาวโหลดแบบฟอร์มทั้งหมดได้ที่ http://www.cic.gc.ca/english/information/applications/visa.asp#applications

เอกสารที่ใช้:
1. Application for a temporary resident visa made outside of Canada (IMM5257) – กรอกในไฟล์ที๋โหลดมา แล้วกด
2. Family information (IMM5645) – กรอกในไฟล์หรือเขียนก็ได้ค่ะ
3. Fee payment – $75 (single) หรือ $150 (Multiple)
เป็น money order / cashier cheque เท่านั้น (ไม่รับเงินสด และ personal cheque)
4. รูปติดบัตร 2 ใบ – ต้องเป๊ะตามข้อกำหนดในเวปไซต์
5. สำเนา I-20 , I-94 , F1 visa
6. Transcript และ ใบลงทะเบียนเรียนเทอมหน้า
7. สำเนาตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
8. Statement – ปริ๊นออกมาจากเวปได้เลยค่ะ
ถ้าขอแบบ single ต้องมีเงินอย่างต่ำ $500 ส่วน Multiple อย่างต่ำ $1,000 ค่ะ
9. Passport ตัวจริง เอาไว้ติดวีซ่าไงคะ :)
10. Document checklist (IMM5484)
11. เอกสารอื่นๆที่อยากยื่น เช่นเอกสารเชิญจากเพื่อน (จริงๆไม่ต้องมีหรอกค่ะ)

ที่อยู่:
Consulate General of Canada, Immigration Section
550 South Hope Street, 9th Floor
Los Angeles, California
90071, USA

เวลาทำการ: 8:30 – 10:30am

.

.

เช้าตรู่วันจันทร์.. ลูลิกับคุณคู่หูก็ขับรถเข้าไปใน downtown LA กัน
ขนาดว่าถ่างตาตื่น ออกกันตั้งแต่ 6 โมงครึ่งแล้วนะ แต่รถก็ยังติด!!
แหม่… เห็นรถติดตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้ คิดถึงกรุงเทพบ้านเฮาจังน๊อ ><

ระยะทางก็ไม่ไกลมาก แต่รถเยอะค่ะ ก็เลยถึงเกือบๆจะ 8 โมงครึ่ง
เอารถเข้าไปจอด ค่าจอดรถแพงมากกกกกกกกกกกกกกกก 12นาที $4.50… ฆ่ากันเลยดีมั้ย = =’
พอขึ้นไปถึงชั้น 9 ,, ออกจากลิฟท์ก็จะมีคนกวักมือเรียกเองค่ะ
คุณพี่ซิเคียวริตี้ท่าทางกวนติง ยืนเฝ้าหน้าเครื่องแสกนกระเป๋าอยู่
“มีอะไรจะถามมั้ย” … คุณพี่เค้าว่างั้น
ระหว่างที่ประมวลผล มือมันก็หยิบกระเป๋าวางบนสายพานโดยอัตโนมัติ
คุณพี่ซิเคียวรีบขึ้นเสียง “ถามคำถามมาก่อน!!”
โดนดุ ( -`д´-)

ลูลิก็อ้อมแอ้มบอกไป “เอ่อ อ่า…. คือว่า คือ…. จะมาทำวีซ่าค่ะ”
คุณพี่ซิเคียวก็ย้ำคำเดิมอีก “question?”
เอออออ!!… ตูรู้แล้วววว ถามก็ได้ว๊อยยยยยยยยย
“ที่นี่รับเงินสดมั้ยค๊าาาาาาา”
สิ้นคำถาม ระบบทำงานอัตโนมัติก็ทำงานทันที (เอ๊ะหรือคุณพี่จะเป็นหุ่นยนต์)
“ที่นี่ไม่รับเงินสด จะต้องเป็น money order หรือว่า cashier cheque เท่านั้น
จำนวนเงินคือ 75 US dollar,, ถ้าหากว่าจะแลกเป็น money order ก็เดินลงไปข้ามถนนไป 7th street
มันจะมีไปรษณีย์อยู่ตรงนั้น แต่ถ้าหากว่ามีบัญชีของ wells fargo bank ล่ะก็
ลงไป ข้ามถนน แล้วก็จะอยู่ขวามือนะ รีบไปรีบมาล่ะ”

แทบช๊อค = =’
ระบบอัตโนมัติพูดเร็วมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่รีบ เข้าใจมั้ยว่าไม่รีบ!
แต่เพื่อไม่ให้หน้าแตก ก็เลยพนักหน้ารับ แล้วก็เดินเชิดสวยๆกลับทางเก่า ヽ( ´ー`)ノ

พอลงมาถึงข้างล่าง ก็สะกิดคุณคู่หู… มะกี๊มันว่าอะไรนะ = =’

.

.

เนื่องจากคุณคู่หูไม่ได้หูบอดเหมือนอย่างลูลิ ก็เลยรอดตาย 5555+
เราสองคนเดินหาไปรษณีย์กันค่ะ ได้ยินแว่วๆอยู่ว่า 7th street
แต่ไอ้ 7th street มันอยู่ตรงไหนล่ะ แล้วไอ้ที่ยืนอยู่นี่มันคือถนนอะไร (;ノ゚Д゚)ノ (゚ロ゚;)
ท่ามกลางความโกลาหล ถือว่ายังโชคดีที่โลกนี้มี google map 555555+
กว่าจะลากสังขารมาถึงไปรษณีย์ก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วพอมาเห็นแถวในไปรณีย์อีก ลบแทบจับ!!
(คือว่าห่วงค่าจอดรถอ่ะค่ะ 555555+)

รอคิวอีกร่วมครึ่งชั่วโมง จนได้ money order มาสมใจอยาก
Money order ก็จะคล้ายๆกับตั๋วแลกเงิน หรือธณาณัตินั่นแหละค่ะ
จ่ายเงินไป $150 + ค่าธรรมเนียมใบละ $1.50 ,, ก็เดินตัวปลิวออกมา พร้อมกระดาษ 2 ใบ φ(.. )

ตรงดิ่งกลับมาถึงชั้น 9
คุณพี่ซิเคียวก็ยิ้มรับมาแต่ไกล แล้วก็บอกว่า โอเค (ทำนองว่าเชิญแสกนกระเป๋าได้ เห็นหล่อนอยากจะแสกนนัก)
หลังจากที่ปิดมือถือ ก็เดินผ่านเครื่องแสกนเข้าไปด้านใน,,

.

.

ด้านในก็เหมือนสถานฑูตทั่วไป มีตู้ๆอยู่ด้านหน้า (ประมาณ 6 ตู้กับ 2 ห้องกระจก…. แต่ขอโทษ เปิดตู้เดียว = =)
แล้วก็มีเก้าอี้เยอะๆให้นั่งรอหน้าตู้ค่ะ
สังเกตุการณ์คร่าวๆด้วยสายตาอันเฉียบแหลม นับจำนวนประชากรได้ 9 คนถ้วน
ล้วนแล้วแต่เป็นกระเหรี่ยงทั้งสิ้น … กระเหรี่ยงไทย กระเหรี่ยงจีน กระเหรี่ยงอาหรับ
ในนั้นเงียบมาก จะคุยกันต้องกระซิบๆ อึดอัดชะมัดยาด!!
นั่งรอจนไฟหน้าตู้โชว์เลขบัตรคิวของเรา ก็เป็นถึงเวลาลุยค่ะ

คนที่มาด้วยกัน เค้าให้ไปยื่นพร้อมกันเลย (ไม่ต้องเป็น family ก็ได้)
พอไปถึง คุณป้าในตู้ก็จะถามก่อนเลยว่า “เธอ 2 คนเป็นอะไรกัน”
แอร๊….  ทำไมคุณป้าต้องอยากรู้เรื่องส่วนตัวของหนูด้วยล่ะค่ะ ><

“We’re friend”
ประโยคคำตอบแบบไม่มีลังเลก็ดังขึ้นขัดสภาวะฟุ้งซ่านของลูลิซะอย่างงั้น
หันไปค้อนให้คนข้างๆควั่บนึง.. ขอชั้นเพ้อเจ้อซัก 2 วิก่อนก็ไม่ได้ ชริส์~

นั่นล่ะค่ะ เอาเป็นว่า.. คุณป้าคงอ่านใจลูลิได้ เลยส่งกระแสจิตตอบมา
ว่า “ชั้นไม่ได้อยากรู้เรื่องของหล่อน แค่อยากรู้ว่าต้องพิจารณาวีซ่าแยกกันรึเปล่าเท่านั้นแหละย่ะ”
ลูลิพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจอยู่คนเดียว ในขณะที่คุณป้าง่วนอยู่กับการตรวจเชคเอกสารกองโตตรงหน้า
เอกสารที่ถูกจัดเรียงมาอย่างดี โดนจับย้ายที่ใหม่หมด (แล้วหลอกให้หนูเรียงทำไมคะป้า!!)
รูปใบที่ 1 โดนแม๊กซ์แสกหน้าเข้ากับ application form  อีกใบโดนหนีบไว้กับพาสปอร์ต
เอกสารอื่นๆก็ค่อยๆถูกซ้อนๆเข้าหากันอย่างลวกๆ
เรา 2 คนก็ยืนลุ้น แทบไม่ได้กลืนน้ำลาย (กลัวเสียงดัง 5555)

หลักจากที่เรียงเอกสาร คุณป้าก็เงยหน้าขึ้นมาถาม
“พวกเธอ ไม่มีใบละทะเบียนเรียนเทอมหน้าเหรอ มันต้องมีหลักฐานของเทอมหน้าด้วยนะ”
อ่าว.. ก็ในเวปบอกว่าใช้แต่ทรานสคริปต์นี่คะป้าาาาาาา!!
ตอนแรกก็ทำท่าเหมือนจะไม่ได้ แต่เห็นแววตาใสซื่อของลูลิละมั้ง
ก็เลยบอกว่าจะรับเรื่องไว้ แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่พิจารณาอีกทีนะ ไม่รับประกันว่าจะได้

แต่โถ่ถังกาละมังแตก โชคดีม๊ากมาก ที่ลูลิเหลือบไปเห็นว่า
ทรานสคริปต์ที่ปริ๊นมาจากเวปมหาลัย มันมีบอกไว้แล้วว่าเทอมหน้าเราจะลงอะไรบ้าง
ก็เลยจัดการชี้ให้คุณป้าดู.. นี่ค่ะๆ  คุณป้าก็คว้าปากกาแดงมาวงเอาไว้ให้
แล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี

ออกจากสถาฑูตพร้อมกับกระดาษเล็กๆสีส้ม 1 ใบ
ที่บอกว่า 1:30 – 2:30pm ของวันมะรืน ให้กลับมาเอาพาสปอร์ตคืนด้วย

.

.

.

.

2 วันให้หลัง
กลับมายืนที่เดิมมมมมมมมมม ที่ที่เคยคุ้นตาาาาาาาาา~♪
คุณพี่ซีเคียวคนเดิม ยืนยิ้มแฉ่งต้อนรับอยู่หน้าประตูเหมือนเดิม
วันนี้ดูอารมณ์ดีม๊ากมาก “Welcome back” พี่แกว่างั้น…

วันนี้ไม่ต้องตรวจกระเป๋า ไม่ต้องแสกนตัวค่ะ
เข้าไปนั่งรอคิวตามลำดับ(มา)ก่อนหลัง ที่เก้าอี้ด้านในเลย
วันนี้มีคนซัก 20 คนได้ (โดยประมาณ)
เค้าก็จะเรียกให้ไปเข้าคิวหน้าตู้ทีละ 5 คน แล้วก็เอาใบส้มที่ได้มานั่น แลกกับพาสปอร์ตคืนมา

ในใจก็กระหยิ่มยิ้มย่อง คิดว่าคงไม่มึใครไม่ผ่าน
แต่แล้ว…
แม่กระเหรี่ยงสาวชาวจีนที่เจอกันวันก่อน ไม่ผ่านซะงั้น!!!
เลยตุ้มๆต่อมๆเลย แล้วชั้นล๊าาาาาาาาา~~~~

ยังไม่ทันได้ตื่นเต้นมาก คุณคู่หูก็รับพาสปอร์ตกลับคืนมา
แต่นแต๊นนนนนนนนน

Photobucket

: P

END