,, จั่วหัวเอาไว้ว่า 30 กิโล เพราะคิดว่าคนที่จะไปเรียนต่อก็คงซื้อตั๋วนักเรียนทุกคนแหละเนอะ
โดยปกติแล้ว”ตั๋วนักเรียน”ก็จะอนุญาติให้เราแบกของไปได้ 30 กิโลอยู่แล้ว
(Economy class ปกติไ้ด้ 20 กิโล)
แต่ว่าถ้าหากว่าใคร นั่งเฟิร์ส นั่งบิส หรือพรีเมี่ยมอีโค่ จำนวนน้ำหนักก็จะแตกต่างออกไปจากนี้ค่ะ
ลูลิเลือกนั่งพรีเมี่ยมอีโค่ (Premium economy class) ซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นระหว่างกลางระหว่างบิสกับอีโค่
เพราะว่าระยังทางอันยาวไกล (บินตรง 16 ชั่วโมง) ทำให้รู้สึกว่านั่งอีโค่คงเป็นง่อยตายก่อนเป็นแน่แท้
แพลนเอาไว้ว่าคงร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาไหลเป็นสายเลือด เลยอยากได้เบาะกว้างๆไว้ซับน้ำตา (เวอร์ 555+)
ตั๋วพรีเมี่ยวอีโค่ ก็เพิ่มเงินขึ้นมาอีกไม่เท่าไหร่(เหรอ?) ด้วยความรักสบาย ก็เลยเอาวะ!!!
ตั๋วเที่ยวเดียว กรุงเทพ-ลอสแองเจลิส ของลูลิก็ฟาดไป 37,000 บาท โดยประมาณ
จำไม่ได้แระว่ามันแพงขึ้นมากว่าอีโค่เท่าไหร่ – -;
สำหรับคนที่จะนั่งพรีเมี่ยมอีโค่ อยากจะแอบเดือนกันซักนี๊ดนึง เผื่อจะมีคนลืมตัวอย่างลูลิ
ตั๋วพรีเมี่ยมอีโค่ มันก็คืออีโคโนมี่คลาสดีๆนี่เองล่ะค่ะ
เพราะฉะนั้น มันให้เราแบกของไปได้ 20 กิโล เท่าอีโค่เท่านั้นเองนะคะ
ถึงจะจ่ายแพงกว่า ที่นั่งดีกว่า อาหารดีกว่า แต่ว่าไม่ได้เพิ่มที่ในท้องเครื่องบินให้ด้วยนะจ๊ะ ^^
ปล. ตามกม.ของอเมริกา กระเป๋าใบนึงจะหนักได้ไม่เกิน 23 กิโล (50 ปอนด์) เท่านั้น
แต่ถ้า Business class หรือ/และ มีบัตรทอง royal orchid ก็จะได้ 32 กิโล (70 ปอนด์)
(แล้วไอ้ยักษ์ของลูลิผ่านมาได้ไง 55555+)
.
.
.
กลับมาเข้าเรื่องการจัดกระเป๋า
อย่างที่เคยเ่ขียนในเอนทรี่ก่อนๆไปบ้างแล้ว ว่าน้องสาวลูลิจะไปเรียนต่อที่อังกฤษในเวลาไล่เลี่ยกัน
เพราะฉะนั้นเราสองคนก็เลยไปชอปปิ้งพร้อมๆกัน ซื้อของเหมือนๆกัน เตรียมของเหมือนๆกัน
โดยที่ยึดเชคลิส(ที่หาจากในเน็ต)อันเดียวกัน!!
แต่พอมาถึงอเมริกาจริงๆ กลับพบว่า “เชคลิสในอินเตอร์เน็ตมันเชื่อถือไม่ได้!! 100%”
เหมือนกับว่ามิกซ์กันมั่วไปหมดระหว่าอังกฤษและอเมริกา
หลายอย่างที่ขนมาที่นี่ สามารถหาซื้อได้ในราคาถูกแสนถูก ไม่คุ้มค่าการแบกมาซักกะตี๊ดเลยเชียว -*-
.
.
.
การจัดกระเป๋า น่าจะซื้อของล่วงหน้าประมาณนึงนะคะ จะได้ไม่ร้อนรนตอนที่ใกล้ๆถึงเวลา
(พอใกล้เดินทาง จะรู้สึกไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น -*-)
โดยแบ่งข้างของออกเป็นหมวดๆ เพื่อง่ายต่อการแพค แล้วก็ง่ายต่อการเชคด้วยค่ะ
หลายครั้งที่แพคกระเป๋าไปเมืองนอก ลูลิเลือกใช้วิธี ลิสรายชื่อของออกมาเป็นหมวดๆก่อน
แล้วก็มีกระดาษอีกใบเป็นลิสของที่จะต้องไปซื้อ แยกตามสถานที่ที่จะไปซื้อ เช่น โลตัส สยาม พารากอน บลาๆๆ
พอได้ของมาก็ใส่ถุงรวมกันเอาไว้เป็นก้อนๆ เื่พื่อง่ายต่อการแพคลงกระเป๋านั่นเอง ^^
ลิสของลูลิจะแบ่งออกเป็น 7 หมวด นะคะ
แต่ว่าแต่ละคนก็อาจจะแบ่งต่างๆกันออกไปล่ะเนอะ
1.เสื้อผ้าอาภรณ์
– เสื้อ / กางเกง / กระโปรง
– ชั้นใน
– ถงเท้า / รองเท้า
– กระเป๋า
2. เครื่องประดับ ของใช้ส่วนตัว
– เครื่องสำอางค์
– อุปกรณณ์ทำผม
– เครื่องประดับ
– ของใช้ส่วนตัว
– ของจุกจิก
3. อาหาร
4. เครื่องใช้ไฟฟ้า
– คอมพิวเตอร์
– กล้อง
– อื่นๆ
5. ยา
6. เครื่องเขียน
7. เอกสาร
.
.
.
ซึ่งขอย้ำอีกทีค่ะ ว่าอเมริกา และอังกฤษไม่เหมือนกัน
ถึงจะเป็นต่างประเทศเหมือนกัน พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน แล้วคนมันก็ตาฟ้าผมทองเหมือนกัน
แต่วิถีชีวิตความเป็นอยู่ แตกต่างกันนะคะ
ของที่หาซื้อไม่ได้ในอังกฤษ หาได้ในอเมริกาค่ะ ^^
เรามาเชคกันทีละหมวดดีกว่าเนอะ!!
.
.
.
.
.
1.เสื้อผ้าอาภรณ์
– เสื้อ / กางเกง / กระโปรง
– ชั้นใน
– ถงเท้า / รองเท้า
– กระเป๋า
เสื้อผ้าที่นี่มีหลายราคาค่ะ ก็เหมือนกับในประเทศไทย ซื้อในพารากอน กับซื้อตลาดนัดราคาก็ต่างกัน
ฉันใดก็ฉันนั้น… เด๊ะ!!
อาทิตย์แรกที่มา ลูลิเดินดูในห้่างเปิดใหม่แถวซานตามอนิก้า (ฺSata Monica) ชื่อบลูมมิ่งเดล
ห้างนี้สวยมาก แล้วก็หรูมาก เสื้อกล้ามห่วยๆบางๆ ควอลิตี้แบบที่สามารถซื้อในตลาดประตูน้ำได้ในราคา 20 บาท
ที่นี่ขาย $40 ….. 1220 บาท (อัตรแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32 บาท) *ปาดเหงื่อ*
ร้านถัดไป..เสื้อแจกเกตมีเฟอร์ น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก มองแล้วให้ราคาอย่างแพงเลย ก็ไม่น่าเกิน 4,000 บาท
พลิกป้ายคาราดู ลมแทบจับ $395 (12,640 บาท) … นี่ัยังไม่รวมแคลิฟิเนียแทก (CA TAX) อีก 10% นะคะ
ณ วันนั้น อยากกลับเมืองไทยทันที อยู่ที่นี่ต้องไม่มีเสื้อผ้าใส่แน่ – -;
วันถัดมา ได้ไปเดินเล่นที่ Wallmart ก็ร้านขายของราคาถูกขนาดใหญ่ น่าจะเทียบได้กับโลตัสบ้านเรา
เสื้อผ้า(ไม่ค่อยสวย) ที่นี่ ราคาประมาณ $10 – $50
จับเนื้อผ้าดูก็รู้สึกว่าโอเคอยู่ล่ะนะ ^^
แต่พอได้ย้ายบ้านมาอยู่บ้านอา น้องชาย(ลูกอา) ก็เลยพาไปเดินเล่นในห้างแถวบ้าน
ก็น่าจะเทียบได้กับเดอะมอลล์ เซนทรัลไรงี๊แหละ
ในห้่างมีขายของหลายแบรนด์เลย ละลานตาไปหมด
แอบโฉบเข้าไปใน Forever21 ร้านโปรดของลูลิ
เฮ๊ยยยยยย กางเกง $10 จอร์จจี้~
ต่อด้วย Zara เสื้อแขนยาวตัวละ $12
ดูดีมีชาติตระกูล และอยู่ในราคาที่พอซื้อได้ (ขอใช้คำว่า”พอซื้อได้” เพราะไม่ได้เต็มใจซื้อ 555)
สรุปแล้ว… เสื้อผ้าที่นี่ สามารถหาซื้อได้ค่ะ ถ้ามีเวลาได้เดินชอปปิ้งซะหน่อย
Luli’s check list
– เสื้อผ้า
– กางเกงยีนส์ (x5) ,, นึกว่าจะหนาว อีธ่อ.. สุดท้ายใส่กางเกงขาสั้นทุกวัน -*-
– กางเกงยีนส์ขาสั้น (x3)
– กางเกงขาสั้นใส่อยู่บ้าน (x5)
– กางเกง longjohn (x2) ,, ตอนนั้นก็กลัวจะหนาว แต่ไม่เป็นไร ยังไงเด๋วมันก็ต้องหนาว 55
– เสื้อยืดใส่นอน (x5) ,, เหมือนจะแบกมาเกิน -*-
– เสื้อยืดใส่ไปข้างนอก
– เสื้อกล้ามแฟชั่น
– แจกเกต / จัมพ์เปอร์
– ผ้าพันคอ
– หมวก
– ผ้าเช็ดตัว (x2)
เสื้อผ้าหน้าหนาวไม่ต้องขนมาเยอะ (เพราะ LA ร้อน -*-) มานี่ค่อยๆเลือกซื้อพวกของหลุดซีซั่นดีกว่า ^^
แต่เสื้อผ้าหน้าร้อนเอาติดมาก็ดี อย่างพวกเสื้อยืดที่นี่มันแพง ^^
____________________
– เสื้อชั้นใน
– กางเกงชั้นใน
– เสื้อกล้าม ,, เผื่อหนาวจะได้ใส่ไว้ข้างในไง
– เสื้อผูกคอ
– เสื้อคลุมอาบน้ำ
____________________
– ถุงเท้า
– รองเท้าผ้าใบ
– รองเท้าส้นสูง
– รองเท้าแตะ
ร้านรองเท้าที่นี่ก็มีให้เลือกเยอะเหมือนกัน
อย่างรองเท้า Sketchers ที่เมืองไทยขายคู่ละ 2,800 ลูลิซื้อจาก Outlet มาราคา $32 (1024 บาท)
แถมคู่ 2 ลดราคาครึ่งนึง เหลือ $17 (544 บาท) … สุดปลื้มเลย ^^
ปล.แต่น้องชายลูลิบอกว่า เด็กมหาลัยเค้าไม่ใส่ Sketchers กัน มีแต่เด็กๆใส่ล่ะ ,, ไม่เป็นไร เด๋วจะนำเทรนด์เอง 555+
____________________
– กระเป๋าหิ้ว
กระเป๋าที่นี่ก็คงไม่ต้องบอก Coach ถูกกว่าเมืองไทยประมาณครึ่งนึงได้ = =’
ที่ Outlet เจอรุ่นเที่เห็นหิ้วกันเยอะๆในเมืองไทย ราคาประมาณ $70 เอง
แต่ใน Shop ก็ราคาเท่ากับที่เชคในเวปของมันเลยค่ะ (เวลาคิดราคา อย่าลืมบวก TAX ไปอีก 10% ด้วยนะจ๊ะ ^^)
.
.
.
.
.
2. เครื่องประดับ ของใช้ส่วนตัว
– อุปกรณ์หน้า
– อุปกรณ์ผม
– เครื่องประดับ
– ของใช้ส่วนตัว
– ของจุกจิก
เครื่องประดับเป็นสิ่งที่อยากบอกดังๆเลยว่า “เอามาเต๊อะ”
เพราะว่าของที่นี่ ไม่สวย และ แพงงงงงงงงงง!!
เครื่องประดับที่นี่ที่ราคาพอซื้อได้ ส่วนมากก็จะมาจากจีน เมดอินไชน่าแทบทั้งสิ้น
ซึ่งมันก็จะแลดูก๊องแก๊งจนเกินงาม ส่วนไ้อ้ที่มันงาม มันก็แพ๊งเแพงจนไม่อยากจะงามกับมัน -*-
ก่อนมาลูลิไปเดินพลาตินั่มกับน้องสาว
ได้สร้อยคอมาเป็นกอบเป็นกำในวงเงินไม่เดิน 2,000 บาท
ไม่มีอะไรทำ ก็เอาสร้อยมานั่งดู … ฮ๊าาา มีความสุขจริงๆ 5555
ของที่นี่แพง แต่… ยกเว้นเครื่องสำอางค์นะคะ ที่ถูกจนน่าตกใจ ><
เครื่องสำอางค์ยี่ห้ออื่นไม่รู้ราคาเท่าไหร่นะ เพราะว่าไม่เคยใช้
แต่จะยกตัวอย่าง Clinique ละกัน..
ตอนแรก ก็ชั่งใจอยู่ว่าจะซื้อมาเลยดีมั๊ยน๊า เพราะ duty free ที่สนามบินพ่อก็ลดราคาได้อีก 10-20%
แต่ไปๆมาๆ มา้เสี่ยงดวงที่นี่ดีกว่า (พูดเหมือนเข้าคาสิโน 5555+)
แล้วก็ปรากฎว่า คิดไม่ผิดจริงๆ!!!! ปลื้มตัวลอย ลัลล๊ามากกกกกกกกก
ราคา Clinique ที่นี่ ถูกกว่าใน dutyfree ที่เมืองไทยครึ่งนึง!!
จริงๆบวก TAX เข้าไปแล้วก็ไม่ถูกมาก แต่ก็เทียบกับราคาไทยแล้วหน้ามืดไปตามๆกันล่ะค่ะ
ท้าให้เชคราคา ^^
ของไทย : http://www.clinique.co.th/th/homepage/
ของเมกา : http://www.clinique.com/
ของที่อเมริกานี่ ราคาจะเท่าในเวปเด๊ะๆทุกอย่างเลยค่ะ แต่ว่าเวลาคิดเงินต้องอย่าลืมพวก TAX ของรัฐนั้นๆด้วยนะคะ
(แต่ละรัฐ TAX ไม่เท่ากัน อย่าง CA มันประมาณ 9.8% แต่เมืองข้างๆ 8.6% ไรงี๊)
Luli’s check list
– เครื่องสำอางค์
– Cotton butt
– สำลี ,, จริงๆมันก็ซื้อที่นี่ได้นะ ราคาไม่ต่างกัน แต่มันเบาๆ ถ้ามีที่เหลือก็ยัดๆมาเถอะค่ะ
– สบู่ล้างหน้า
– โลชั่น
– ยาสระผม
– ครีมนวด
– สบู่อาบน้ำ
– ยาสีฟัน
– แปรงสีฟัน
ในหมวดนี้ จริงๆหาซื้อที่นี่ได้หมดเลยค่ะ
แต่ลูลิติดเอาเครื่องสำอางค์ที่เคยใช้มา ไม่ได้ซื้อใหม่
ส่วนสบู่ แชมพู ยาสีฟัน แปรงสีฟัน พวกนี้มันค่อนข้างจะหนัก และกินที่
ถ้าหากว่าไม่ได้ติดแบรนด์อะไร มาหาซื้อที่นี่ได้ค่ะ
มียี่ห้อคล้ายๆเมืองไทยอยู่เหมือนกัน (เยอะจนเลือกไม่ถูก เลยคว้าเอาที่คุ้นเคยมาเลย 555+)
____________________
– หวีกลม
– หวีแปรง
– หวีซี่
– กระจกตั้งโต๊ะ
– ยางรัดผม
– กิ๊บติดผม
– โรลม้วนผม
– หมวกอาบน้ำ
– ไดร์เป่าผม
– ครีมบำรุงผม
ถ้าจะเอาไดร์เป่าผมมาจากเมืองไทย อย่าลืมว่า ไฟที่อเมริกาคือ 110v เท่านั้น!!
พลิกดูที่ปลั๊ก หรือที่ตัวไดร์ดีๆ ว่ามันปรับให้รองรับไฟ 110v รึเปล่า (เมืองไทยมัน 220v)
____________________
– แคร์ฟรี
– ผ้าอนามัย
– แป้งฝุ่น
นี่ก็หาซื้อที่นี่ได้เหมือนกันค่ะ เห็นมีหลายยี่ห้อให้เลือกใช้เลย
แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นยังไงเหมือนกันนะ เอาไว้ลองแล้วจะบอก 5555+
ส่วนแป้งฝุ่น แป้งฝุ่นที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยเท่าไหร่
แบบว่าเหมือนแป้งทำอาหารง่ะ มันละเอียดมากกกกกกกกกกกกกกก
ตอนเคาะออกมา ต๊กกะใจเลย ^^”
____________________
– ชุดตัดเล็บ
– ชุดเย็บผ้า
– ร่ม
– มีดพก
– ที่โกนขนจั๊กกะแร้ (ถ้าต้องใช้)
– ผ้าปิดตา
– ไขควง
– เข็มกลัด
-ไม้แขวนเสื้อ
– ไม้หนีบผ้า
– ขันตักน้ำ
– พัด
– พระ
– สร้อยพระ
เซตนี้เป็นเซ็ดที่ทุกคนจะต้อง งงเต้ก!! ว่าอะไรของมัน 55555
มันเป็นของจุกจิกของลูลิอ่ะค่ะ จริงๆแล้วแต่ละคนก็คงแตกต่างกันออกไป
ชุดตัดเล็บ จริงๆที่นี่ก็มี ,, ลูิลิโง่ไปซื้อ made in USA มาจากเมืองไทย เพิ่งรู้สึกตัวตอนมาถึงที่นี่ นี่ชั้นต้องการอะไร = =’
มีดพก อย่าลืมเอาใส่กระเป๋าใหญ่นะคะ ไม่งั้นมีดจะต้องนอนแอ้งแม๊งอยู่ที่สนามบินไม่ได้บินมาด้วยแน่นอน
ไม้แขวนเสื้อซื้อที่ wallmart ได้ค่ะ ถูกมากแล้วก็สวย และแข็งแรงมากเลย
แต่ไม้หนีบผ้าเท่าที่เดินดูมันหาไม่เจอง่ะ ซื้อติดมาซักห่อก็ได้ค่ะ มันเบาๆ
ส่วนขัน!! งงล่ะสิ ว่าเอามาทำไม
เรื่องมันมีอยู่ว่า ส้วมที่นี่มันไม่มีที่ฉีดก้น …. จบ!! 5555555+
ไม่ขอเล่ามาก เด๋วจะติดเรทอนาจาร ;p
.
.
.
.
.
3. อาหาร
อาหารนั่นสำคัญไฉน..?
ตั้งแต่ลูลิมาอยู่ที่อเมกา ยังไม่รู้สึกว่าอาหารที่นี่แตกต่างจากบ้านเราตรงไหน
(คงเพราะอยู่กับครอบครัวอา เลยกินอาหารจีนตลอดด้วยมั๊ง)
แต่สำหรับบางคนที่มาอยู่เอง ก็อาจจะต้องการอาหารจากบ้านเกิดมาเหมือนกันเนอะ
ลูลิเองก็มีของที่อยากกิ๊นอยากกิน และขาดไม่ได้อยู่ 2-3 อย่างเหมือนกัน ><
แต่!!!
อย่าลืมว่า ที่นี่คืออเมริกาค่ะ ห้ามเอาของสดเข้าโดยเด็ดขาด หมูหยอง เนื้อแดดเดียว คอหมูย่าง น้ำำพริก ลืมไปได้เลย!!
ซุกซ่อนยังไงก็ไม่เป็นผล เพราะกระเป๋าของนักเรียนทุกคน จะต้องโดนสแกนอย่างละเอียด
ถ้าเค้าเห็นของหน้าตาแปลกๆในเครื่องแสกน ก็ได้เปิดโชว์ของตรงนั้นเลยล่ะค่ะ
เสื้อนงเสื้อใน ออกมาผึ่งกันให้ว่อน 5555+
ถ้าไม่อยากโชว์ ก็อย่าเอามาดีที่สุด
แต่!!! (อีก)
อย่าลืมว่าที่นี่คือ Los Angeles สุดยอดของ Multiculture city
อาหาร (และของใช้) ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี กัมพูชา หาได้หมดค่ะ
ข้างๆบ้านลูลิมีซุเปอร์มาเกต ชื่อ Woori Market เป็นตลาดเกาหลี
เดินเข้าไปแล้วรู้สึกคุ้นเคยมาก เพราะเปิดเพลงดงบัง บิ๊กแบง แล้วก็มีมาม่าเกาหลีเต็มไปเมื๊ดดดด
อาลูลิบอกว่า ตลาดของคนเอเชียมีเยอะมากๆใน LA
เราสามารถหาของเอเชีย(หรือแม้กระทั่งของไทย)กินได้ โดยไม่ต้องถ่อไปถึง Thai Town
(บ้านลูลิอยู่ไกลจากไทยทาวน์มากง่ะ 2 ชั่วโมงเห็นจะได้ T^T)
Luli’s check list
– Furikake ,, ผงโรยข้าวจากญี่ปุ่น หยุดไม่ได้ขาดใจอ่ะอันนี้ ><
– โลโบ ,, ที่นี่ซองละ 15 บาทไรงี๊เอง ถ้าจะซื้อเลือกรถแปลกๆมาค่ะ ที่นี่มีขายแต่เป็นรสพื้นๆ
– มาม่า ,, เป็นไอเทมที่ลูลิหยิบออกในตอนสุดท้าย แล้วก็มานั่งเสียใจ T^T มาม่าืั้ที่นี่มีค่ะ แต่ซองใหญ่มากและรสชาติมันไม่ใช่!!
– โจ๊กซอง
– หอยกระป๋อง ^^
.
.
.
.
.
4. เครื่องใช้ไฟฟ้า
– คอมพิวเตอร์
– กล้อง
– อื่นๆ
หมวดนี้เป็นหมวดที่จำเป็นมากที่สุดสำหรับลูลิ
มากกว่าอาหารและเสื้อผ้า คิดดูว่าจำเป็นขนาดไหน 55555+
อยากจะบอกว่า อเมริกาอุปกรณ์อิเลกทรอนิกถูกม๊ากกกกกกกกกก!!
ราคาเท่าเมืองไทย หรือไม่ก็อาจจะถูกกว่าในบาง items ด้วยซ้ำ
ลูลิเดินเชคราคาเล่นๆที่ Wallmart
External Harddisk ของ Western รุ่น Estensial book ราคาราวๆ 3,000 นิดๆ
ลูลิก็ซื้อมาจากเมืองไทยในราคาันั้นล่ะ -*- แบกให้หนักเปล่าๆปลี้ๆ!!
ถ้าหากว่าไม่ได้ตั้งใจใส่ข้อมูลมา ก็สามารถหาซื้อได้จากที่นี่เลยค่ะ
Thumbdrive 4Gb หน้าตาสวยงามน่าใช้มาก ก็ $9.99 เอง
เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องกว้านซื้อ มาซื้อที่นี่บ้างก็ได้ ^^
Luli’s check list
– Computer note book
– คีบอร์ด + เมาส์ wireless ,, ขนมาจากไทย เพราะจะได้มีภาษาไทยไง 555
– แผ่นรองเมาส์
– Adapter แปลงไฟ 110v <-> 220v ,, เผื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างไม่รองรับไฟ 110v (แต่ยังไม่เจอซักชิ้น -*-)
– สาย lan ,, เผื่อต่อเน็ตหอ ,, แต่ที่นี่เค้าเป็น wireless หมดง่ะ -*-
– Thumb drive ,, อย่างที่บอก หาซื้อที่นี่ได้สบายๆ สวยกว่าของไทยเยอะ
– External harddisk บรรจุข้อมูลเต็มเปี่ยม!!
– VCD / DVD เปล่า
– DVD หนัง ,, แบบว่าใส่ HDD ก็ยังไม่พอใจ (แต่ไม่ได้หยิบออกมาจากกระเป๋าด้วยซ้ำ = =)
– ปลั๊กสามตา
– ไมโครโฟน
– ลำโพงเล็กๆ
– สายรัดสายไฟ
____________________
– กล้อง
– สายชาร์ต
– เมมโมรี่
– ยากันชื้น
– กระเป๋ากล้อง
– กล่องเก็บกล้อง
ปล.มีกล่อง + ยากันชื้น เพราะว่าแบก DSLR มา (แลดูไม่มีโอกาสได้ใช้ 5555)
____________________
– มือถือ
– สายชาร์ตมือถือ
– USB ของมือถือ
– Talking dict
– สายชาร์ต Talking dict
– MP3 Player
– USB ของ MP3 Player
– เครื่องอัดเสียง
.
.
.
.
.
5. ยา
ซื้อยา(บางอย่าง) จะต้องมีใบรับรองแพทย์ถึงจะซื้อได้ค่ะ
คนที่นี่ก็เลยแนะนำว่าให้เอายาติดตัวมาด้วย เวลาที่ป่วยจะได้ไม่ลำบาก
จริงๆแล้วนักเรียนที่นี่ทุกคน จะต้องทำประกันด้วย
ลูลิทำประกันกับโรงเรียน คิดอาทิตย์ละ $20
แต่พอถามว่า ประกันแต่อุบัติเหตุเหรอ แล้วถ้าป่วยไปหาหมอได้มั๊ย
ไดเรกเตอร์ก็บอกว่าให้มาบอกก่อนว่าจะไปหาหมอ แล้วเด๋วตอนนั้นจะบอกเองว่าไปได้มั๊ย…. เง้อออ? -*-
เพราะฉะนั้นแล้ว การแบกยา(บางอย่าง)มาด้วยก็เป็นการดีค่ะ แต่ต้องศึกษาวิธีกินมาด้วยนะ!!
ปกติที่บ้านลูลิก็ไม่เคยหาหมออยู่แล้ว พ่อกับแม่เป็นคนสั่งยาให้ตลอด
เพราะฉะนั้น ป่วยก็คงตรวจทางสไกป์เอานี่ล่ะ!!
ยาของลูลิอาจจะเยอะหน่อย เพราะว่าขี้โรค =3= แต่ส่วนมากก็เป็นยาสามัญประจำบ้านนี่ล่ะค่ะ
ส่วนที่จำเป็นต้องเอามาจริงๆก็คือ “ยาแก้อักเสบ” ,, ไม่รู้ว่าที่เมืองไทยสามารถซื้อได้หรือว่าต้องใช้ใบสั่งยาเหมือนกันนะ
แต่ว่าที่นี่ต้องพบหมอเท่านั้น เพราะว่ายาแก้อักเสบมันถือเป็นยาอันตราย
Luli’s check list
* Amoxicilin
* Norfoxacin
– Paracetamol
– Telfast
– Bompheniramine / Corpheniramine
– Ibuprophen / Ponstan
– ยาคลายกล้ามเนื้อ
– ยากแก้ท้องเสีย
– ยานอนหลับ
– ยาระบาย
– อีโน
– Oreda เกลือแร่กินหลังท้องเสีย
– ยาป้ายปากแก้ร้อนใน
– พลาสเตอร์
– ผ้ากอซ / เทป
– เบตาดีน
– โวทาเลน
– แซมบัค
– ยาหม่อง / ยาดม
.
.
.
.
.
6. เครื่องเขียน
อ่านเจอในเน็ตบอกว่าเครื่องเขียนที่ต่างประเทศแพง แล้วก็ไม่เยอะเหมือนอย่างบ้านเรา
ลูลิก็เลยกว้านซื้อมาอย่างเยอะ
แต่.. ตอนไปเดิน Wallmart (อีกแล้ว) ก็พบว่า
เครื่องเขียนที่นี่ถูกมาก!! แต่อาจจะซิมเปิ้ลๆ แบบเหมือนที่ขายที่โลตัสบ้านเรา
สมุดโน๊ต เล่มละ 20เซนต์ เท่านั้นเอง ถูกมากกกกกกกกกกกกกกก *เป็นลม*
ไส้ดินสอกดที่ว่าที่อังกิดแพง ที่อเมริกาไม่แพงนะคะ เพระาฉะนั้นไม่ต้องซื้อมาตุน
ปากกาเขียนซีดีที่บอกว่าที่อังกิดไม่มี ที่อเมริกามีค่ะ!!
Luli’s check list
– ปากกาสีๆ
– Hi-light
– ดินสอกด
– ไส้ดินสอกด
– ยางลบ
– ไม้บรรทัด
– ลิควิด
– ถุงใส่ดินสอ ,, ถ้าอยากได้น่ารักๆก็เอามาจากไทยเลยค่ะ
– แมกซ์
– ลูกแมกซ์
– เครื่องคิดเลข
– ปากกาเขียน CD
– สกอตเทป
– คลิปหนีบกระดาษ
– คัตเตอร์
– กรรไกร
.
.
.
.
.
7. เอกสาร / หนังสือ
สิ่งสุดท้ายที่ทำให้กระเป๋าหนักสุดๆ -*-
ลูลิแบกหนังสือมา 40 เล่ม..!!
ตอนแรกมองๆก็ไม่คิดว่าเยอะเท่าไหร่ แต่พอมานับจริงๆ
อืมมมมมมมมม เยอะเป็นเรื่องเป็นราว
(แล้วก็ยังไม่ได้แกะออกจากห่อจนถึงวันนี้ หุหุ)
แต่อยากบอกว่า หนังสือภาษาอัังกฤษไม่จำเป็นต้องเอามานะคะ
วันนี้ (สดๆร้อนๆ) ที่โรงเรียนพาไปร้านหนังสือมือสอง
นิยายเล่มละ $1 ถูกมั่กๆๆๆๆๆๆ =[]= เซอร์ไพร์สที่สุดในโลก!!
แต่หนังสือไทย อาจจะไม่มีขาย อยากได้ต้องเอามาเอง อิอิ
Luli’s check list
– Passport
– Acceptance letter (จากโรงเรียนภาษา)
– Offer letter (จากมหาลัย)
– Offer letter (จากหอพัก ในกรณีที่จองหอ)
– ตั๋วเครื่องบิน
– ใบขับขี่สากล
– ใบขับขี่ไทย ,, เค้าบอกว่า ที่นี่ใบขับขี่ไทยได้รับการยอมรับมากกว่าใบขับขี่สากล = =’
– บัตร ATM
– บัตร Credit
– บัตร Debit
– รูปถ่ายติดบัตร
– Transcript
.
.
.
.
.
เตรียมของครบแล้ว แล้วก็เริ่มต้นแพคกระเป๋า
อาจจะใช้เวลาประมาณวันนึง เพราะว่ายัดไม่ลง 555555+
ลูลิแนะนำว่าให้ซื้อกระเป๋าลากๆแบบที่เค้าลากไปชอปปิ้งพลาตินั่มกันมาใช้ (เลือกแบบดูดีหน่อยก็ได้นะ)
เพราะว่าอเมริกาไม่ยอมให้เราล๊อคกระเป๋าอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น กระเป๋าแบบล๊อคได้ก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่
อาจจะมีใบที่ล๊อคได้ใบนึง (รุ่นใหม่ที่มีช่องไขกุญแจของตม.โดยเฉพาะ) เอาไว้ใส่พวกของเล็กๆหรือของมีค่า
แล้วก็ใบที่ล๊อคไม่ได้ ใส่เสื้อผ้า / หนังสือไป อะไรแบบนั้น
ของที่แตกหักได้ก็เอามาใส่กระเป๋าเล็กแบกขึ้นเครื่องนะคะ
เพราะว่าไม่งั้นพนักงานจับกระเป๋าโยนไปโยนมา ของคงแหลกหมดแน่แท้!!
แพคอย่างดี สำคัญยิ่งชีพ ><
ของลูลิมีกระเป๋าใหญ่มหึมา 3 ใบ กระเป๋าลากขึ้นเครื่อง 2 ใบ กระเป๋าโน๊ตบุค 1 ใบ กระเป๋ากล้อง 1 ใบ
น้ำหนักรวม (เฉพาะใบที่ชั่ง) 80 กว่าโล… 2 ใบที่ลากขึ้นเครื่อง ค่อนข้างมั่นใจว่าหนักกว่า 20 โลแน่ๆ 5555+
สิริรวมน้ำหนักที่ขนมาอเมริกา มากกว่า 100 กิโลกรัม!!!
โชคดีจริงจรี๊งงงงงงง ที่พ่อบินมาส่งด้วย ไม่งั้นมีแต่ตายกับตายลูกเดียว =3=*
สรุปแล้วก็คือ… ของบางอย่างมาหาซื้อที่นี่ได้ในราคาพอๆกัน
อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไว้บ้านบ้างก็ได้นะคะ อย่าเอาลูลิเป็นเยี่ยงอย่างล่ะ 555555+
End.
Recent Comments