Follow my soul ,, ♥

เขียนไปเท่าที่ใจอยาก

► สอบใบขับขี่ในอเมริกา,, ขอเริ่มด้วยสอบข้อเขียนละกัน August 26, 2010

,, หลายคนเคยบอกเอาไว้ว่า อยู่ในอเมริกา ไม่มีรถก็เหมือนไม่มีแขนไม่มีขา
ตอนแรกก็คิดว่าเวอร์ซะไม่มีล่ะ ประเทศศิวิไลขนาดนี้รถไฟฟ้าไม่มีเหรอไง..?

แต่พอมาอยู่ที่นี่ (Los Angeles) จริงๆ อืม… มันไม่มีจริงๆนะ รถไฟฟ้าน่ะ – -;
เป็นเพราะว่าอเมริกามันใหญ่โตมโหฬารมหาศาลมาก
แล้วก็ด้วยความที่คนที่นี่ก็อกแนวจะ Individual man อย่างบอกไม่ถูก
การมีรถยนต์ส่วนตั๊วส่วนตัว ก็เลยแลดูจะตอบสนองความต้องการได้มากกว่า
พอทุกคนมีรถ ก็ไม่มีใครใช้ระบบขนส่งสาธารณะ การเติบโตของมันก็เลยหยุดลงไปด้วย
(ทางไกล ลงทุนมหาศาล,, แต่ถ้าทำไปไม่มีคนใช้ แล้วจะทำไปทำไม ชิมิ?)
เมื่อระบบห่วย คนที่ขึ้นก็มีแต่คนจน ทำให้รถเมล์กลายเป็นสิ่งน่ากลัวขึ้นมาทันที
เลยเดือดร้อนมาถึงนักศึกษาต่างชาติอย่างเราๆนี่ล่ะค่ะ ที่ต้องหลิ่วตาตามเมื่อเข้ามาในเมืองตาหลิ่ว~

“ต้องมีรถ” เป็นคำที่ทุกคนที่รู้จักในอเมริกาบอกลูลิ
ไอ้ความรู้สึกงก (ประมาณว่า ตูนั่งรถเมล์ก็ได้ – -‘) ก็ค่อยๆโดนกลืนหายไป
สุดท้ายแล้วก็ต้อง “มีรถ” จนได้!!

.
.
.

แต่ก็เพราะว่าที่นี่คือ “อเมริกา” อีกนั่นแหละ
การจะมีรถซักคันมันก็เลยไม่ได้ง่ายเหมือนอยู่บ้านเรา
ยิ่งเราเป็นกระเหรี่ยงต่าวด้าวด้วยแล้ว ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะวุ่นวายขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว

ก่อนที่จะซื้อรถได้ เราก็จะต้องมีใบขับขี่เป็นของตัวเองซะก่อน!!
(เพราะตอนซื้อรถ มันต้องใช้อะไรซักอย่างในการโอนรถนี่ล่ะ)

.
.
.

การทำใบขับขี่นี่ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากบ้านเราเท่าไหร่นักค่ะ
ถ้าหากว่าเคยทำใบขับขี่จากเมืองไทยมาแล้ว ก็จะไม่รู้สึกว่ากระบวนการมันก็คล้ายๆกัน
อย่างแรกที่ต้องทำ ก็คือการสอบข้อเขียน
จากนั้นก็สอบขับ.. ซึ่งในส่วนของการสอบขับรถนี่ล่ะค่ะ ที่แตกต่างออกไปจากในเมืองไทย
จำกันได้มั๊ยเอ่ย ว่าในเมืองไทยสอบขับรถกันยังไง
แม่นแล้ว! สอบในสนามจำลองจิ๋วๆ ในกรมการขนส่งทางบกไงคะ ^^

แต่ที่นี่ไม่ใช่ค่ะ…
ที่นี่เค้าเล่นของจริง ไม่มีสลิงไม่ใช้ตัวแสดงแทนค่ะ
บึ่งออกไปนอกถนนจริงๆกันเลย โดยจะมี Instructor คอยนั่งไปข้างๆ
สั่งให้เราทำตาม แล้วก็คอยหักคะแนน… =3=

.
.
.

ยังค่ะ… ลูลิยังไม่ได้สอบขับ เพราะว่าเพิ่งจะตัดสินใจจะทำใบขับขี่เมื่อวาน
วันนี้ก็เลยแค่ไปสอบข้อเขียนมาก่อนเท่านั้น ^^

แรกเริ่มเลยของการทำใบขับขี่ ก็คือการศึกษากฎกติกามารยาทต่างๆเอาไว้ก่อน
ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า โดยรวมก็คล้ายๆของไทย
แต่ว่าก็จะมีีดีเทลเล็กๆน้อยๆที่ต่างออกไป เรื่องที่ควรทำ-ไม่ควรทำ
และบางเรื่องที่ความหมายตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง!!
ซึ่งทั้งหมดนี่ ทาง DMV (Department of Motor Vehicles) ก็แสนจะใจดีเตรียมเอาทุกอย่างเอาไว้ให้หมดแล้ว
ในเวปไซต์ http://www.dmv.ca.gov/portal/home/dmv.htm (California only)

.
.
.

แรกเริ่ม ก็เริ่มจากการนัดหมาย (Make appointment) ซะก่อน
ถ้าจะเข้าไปทำเรื่องที่ DMV (Office) ก็เลือก Make appointment for visit office
ตอนแรกลูลิก็ไ่ม่คิดว่าจะมีคนเข้าไปจองเวลาเยอะ (เพราะขับผ่าน DMV ทุกวัน คนเข้าคิวยาวเป็นหนอนตลอด = =)
แต่พอทำเรื่องจองวันเข้าไป ก็ได้คิวเข้าไปยื่น application วันที่ 1 ตุลาคม!!!!
*ขยี้ตา 2 ที* เฮ่ยยยย 1 ตุลาจริงๆด้วย
นานไปมั๊ยยย อีกเดือนกว่าๆ แล้วเมื่อไหร่จะได้ขับรถกันล่ะ!!

เพราะว่ามันนานเกินจะรอ (วัยรุ่นใจร้อนอ่ะ รอนานไม่ได้ 5555)
ลูลิก็เลยเปลี่ยนใจ ขอ Walk in เข้าไปแทนละกัน
ทีนี้เลยเข้าใจแระ ว่าทำไมคิวยาวเหยียดทุกวัน = =*



เอกสารที่จะต้องใช้ เห็นมันติดอยู่บนบอร์ดที่โรงเรียน เลยถ่ายกลับมาซะหน่อย

.
.
.

ลูลิเลิกเรียนบ่ายสองโมง บ่ายสองสิบนาทีก็ถึงที่ DMV
แต่ก็ต้องกุมขมับตั้งแต่เลี้ยวเข้าที่จอดรถ เพราะว่ามันหาที่จอดไม่ได้เลยล่ะ
เฺฮ๊ยยยย คนมันจะเยอะไปไหน!!!!
ยิ่งมองเห็นหางแถวที่ล้นออกมานอกตัวอาคารแ้ล้ว ก็ต้องแอบถอนหายใจเฮือกโตๆ
เฮ่อออออออออออ.. หรือจะมาวันหลังดีว๊า = =’


แต่ว่าไปนั่น สุดท้ายแล้วลูลิก็ลากน้องสาวมายืนต่อหางแถวอยู่ดี
ราวๆครึ่งชั่วโมง ถึงจะสามารถผ่านประตูเข้าไปเจอเคาท์เตอร์แรก
เจ๊ประจำโต๊ะ ทักด้วยคำทักทายยอดฮิต “Hi How are you today?”
ลูลิแอบคิดในใจว่า ทำไมต้องถามแฟร๊ วันนี้จะเป็นยังไงมันก็เรื่องของชั้น = =
แต่สุดท้ายก็พึมพำตอบไป “ฟาย!!” (ภาษาอังกฤษค่ะ ภาษาอังกฤษ 555+)

แล้วเจ๊ก็เริ่มเปิดฉากสปีคสุดสปีด (ไวกว่านรก)
จับใจความได้ว่า “แม่หนู.. วันนี้มาทำอะไรจ๊ะ”
ลูลิก็ตอบไป “มาทำใบขับขี่ค่ะ”
เจ๊แกทำหน้างง… อ่าว.. งงไรล่ะ ก็มาทำใบขับขี่ไง ไม่เข้าใจเหรอ
เจ๊แกงงมา ลูลิก็งงสู้ (ไม่ยอมแพ้ด้วยล่ะ!!)
น้องสาวเห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว ก็เลยเอ่ยปากช่วย
“พี่เค้ามาทำใบขับขี่ค่ะ วันนี้จะมาขอสอบข้อเขียนก่อน”
เจ๊แกพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ (ใช่เซ๊!! น้องสาวมันอเมริกัน ลูลิมันกระเหรี่ยงเน่!!)
แล้วก็ปริ๊นบัตรคิวมาแมกซ์ติดไว้กับใบคำร้อง
จากนั้นก็หันมาบอกว่าให้ไปนั่งรอเรียด้านในได้เลย


ใบคำร้อง

.
.
.

นั่งรอ… อย่างไม่รู้ชะตากรรมตัวเองอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์
ไม่มีอะไรทำ มองซ้ายมองขวา ก็เห็นเด็กอเมริกันนั่งอ่านคู่มือขับรถกันใหญ่
มองผู้สมัครคนอื่นๆแล้วก็เครียด ทำไมแต่ละคนขมักเขม้นกันขนาดนี้ล่ะ = =’
อืมมมม… สงสัยข้อสอบจะยากมาก เลยหยิบเอาข้อสอบเก่าของตัวเองขึ้นมาอ่านบ้าง

อ่านข้อสอบ(ไทย)จบไป 2 รอบ ทำแบบฝึกหัก(อังกฤษ)เสร็จไปอีก 5 เทส
จนในที่สุด เสียงจากเครื่องอัตโนมัติก็เรียกให้เราไปที่ช่อง 10
เฮ่อ…. 2 ชั่วโมงกว่าเอง จิ๊บๆ แค่เกือบไม่ทันเวลา T^T
(ที่นี่เปิดให้สอบจนถึง 4 โมงครึ่งค่ะ ถ้าเข้าห้องสอบไม่ทันก็กลับบ้านไปเลยมั๊ง รอฟรี = =)

.
.
.

ที่เคาท์เตอร์ 10 (Window10 — ไม่เห็นมีหน้าต่างเลย ทำไมเป็น Window ก็ไม่รู้เนอะ ^^”)
เจ๊ประจำเคาท์เตอร์หันมาเห็นก็ทักประโยคเดิม “Hi How are you today?”
แ้ล้วก็ “)#$^&^@#+…. first time?”
มันถามอะไรไม่รู้แหละ แต่ First time อะ เลยตอบ Yes ไป
(เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเค้าถามว่า มาทำเรื่องเป็นครั้งแรกรึเปล่า ถ้าเคยมาแล้วจะมีเอกสารอยู่.. ว่างั้น)
แล้วก็ขอพาสปอร์ตไปซีรอกซ์ กับกรอกข้อมูล
ซึ่งจริงๆแล้วเหมือนกับว่าจะต้องใช้ I-20 ด้วย แต่ลูลิลืมเอามา ก็เลยเลยตามเลย เนียนยื่นไปแต่พาสปอร์ตนี่ล่ะ
เจ๊แกก็ไม่ได้ว่าอะไร พิมพ์ก๊อกแก๊กๆๆ ประกอบกับหันมาพูดด้วยเป็นระยะๆ..
แต่ขอโทษนะคะเจ๊ มองหน้าแล้วไม่เอะใจเลยเหรอ ว่าควรพูดช้าๆหน่อยน่ะค่ะ = =’
รัวสุดๆแบบนี้ กระเหรี่ยงไม่สามารถเข้าใจได้นะคะ 5555+

จากนั้นก็จะเอาใบคำร้องมาให้เราเซ็น (ต้องเซ็นต่อหน้าเจ้าพนักงานเท่านั้น)
แล้วก็ทำการเทสการมองเห็น
ให้ปิดตาอ่านป้ายทีละ้ข้าง.. (แต่พูดเร็วมาก ฟังเเกือบไม่เข้าใจว่าให้ทำอะไร!!)
แล้วก็จะเรียกเก็บเงิน เป็นเงิน $31 (ประมาณ 970 บาท)
จากนั้นก็จะปริ๊นใบส่งตัวมาให้แล้วก็ชี้ทางเข้าสู่ฐานต่อไป

ถ้าหากว่าอยากได้ข้อสอบเป็นภาษาไทย ก็สามารถรีเควสได้ที่ตรงนี้ค่ะ
เจ๊จะเขียนลงไปในใบส่งตัวให้ ว่าขอข้อสอบภาษาไทย
(สิทธิพิเศษสำหรับ กระเหรี่ยงในแคลิฟอเนียเท่านั้นนะจ๊ะ ♥)

.
.

.

ด่านต่อไป ก็จะเป็นการถ่ายรูป ปั๊มนิ้ว แ้ล้วก็รับรองลายเซ็น
เริ่มแรกก็จะให้เซ็นลงบนเพลท แล้วก็ปั๊มนิ้วโป้งทีละข้าง
แล้วสุึดท้ายก็คือถ่ายรูป…. หน้าตาแย่ได้อีก แงงงงงงง

จากนั้นก็ไปยื่นเอกสารที่ได้มาที่ช่อง 1 เพื่อรับข้อสอบ
ตอนแรกก็คิดว่าจะสอบเป็นรอบๆ มีห้องมีโต๊ะเหมือนอย่างตอนที่สอบที่เมืองไทย
แต่ว่าผิดถนัอเลยค่ะ ห้องสอบเป็นแค่เคาท์เตอร์สูงๆ (เหมือนเวลาืยืนกรอกใบฝากเงินในธนาคารง่ะ)
แล้วก็ไม่ได้กั้นอะไรทั้งนั้น

หลังจากทำข้อสอบเสร็จ ก็เอากลับไปคืนที่ช่อง 1
จากนั้นเ้จ้าหน้าที่ก็จะให้ไปนั่งรอ แล้วก็เรียกมาฟังผลว่าผ่านรึเปล่า
แน่นอนค่ะ ว่าลูลิผ่าน!! แต่ไม่ได้ผ่านธรรมดานะ
ผ่านแบบ 100% correct เชียวล่ะ ~//////////~ ปลื้มเชียว~

แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะปริ๊น Tempolary driving permit ให้ใช้หัดขับ ก่อนที่จะมาสอบขับอีกทีวันหลังค่ะ
เท่านี้ก็เสร็จสิ้นการสอบข้อเขียนสำหรับใบขับขี่อเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็ต้องไปฝึกหัดขับอีกซักนิด แล้วก็รีบนัดวันไปสอบขับอีกทีในเวปไซต์เดิมค่ะ


หน้าตาใบอนุญาต

.
.
.

สำหรับคนที่กังวลว่าจะสอบผ่านมั๊ย เขยิบเข้ามาสิคะ ลูลิจะบอกอะไรให้ฟัง ^^
เิีิริ่มแรกคือ อย่างที่ลูลิบอกว่าลูลิได้ข้อสอบเก่ามาจากเืพื่อน
ในใจก็คิดว่าเอามาอ่านเป็นไอเดีย ว่าเค้าจะออกข้อสอบแบบไหน
แต่ว่าพอได้รับกระดาษคำถามมา ลูลิถึงกับหัวเราะก๊าก (อิฝรั่งคนข้างๆกำลังเครียดอยู่)
มันแบบว่า ข้อสอบที่สอบมัน exactly the same กับตัวอย่างที่ได้มาเลยนี่นา
ข้อสอบมีถามเรื่องกฎ 36 ข้อ แล้วก็เรื่องป้ายต่างๆ 12 ข้อ
ลูลิใช้เวลาทำทั้งหมดไม่ถึง 5 นาที .. ทำไปหัวเราะคิกคักไป อย่างกับคนบ้า -*-

ตอนที่เดินไปฟังผล เจ้าหน้าที่เค้าก็พูดแค่ว่า “You passed”
ลูลิก็เลยชะโงกหน้าเข้าไปถามว่า “How about my score?”
เจ้าหน้าที่ก็มองหน้าแบบไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ แล้วก็บอกว่า “100% correct”
ฮี่ๆๆๆๆ~

ไม่รู้ว่าสามารถโพสข้อสอบไว้หน้าบลอคได้เลยรึเปล่า (โจ่งแจ้งไปเด๋วเค้าเปลี่ยนข้อสอบล่ะซวยอีก)
เอาเป็นว่า ถ้าใครหาข้อสอบอยู่แล้วอยากได้ ก็ทิ้งเมลล์ไว้นะคะ เด๋วลูลิจะส่งให้ ^^

ไปเตรียมตัวสอบขับก่อนแระน๊า
ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ ^^

ปล.พิมพ์ไว้เมื่อคืนแล้วหายเกลี้ยง พิมพ์รอบสองนี่ไม่สนุกเลยนะเนี่ย T^T

 

► สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก,, พี่โชน น้ำ และลูลิ ^^ August 23, 2010

สักวันหนึ่ง
(มาริสา – สุโกศล หนุนภักดี)

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ที่ฉันต้องทนเก็บทุกสิ่ง
ปิดบังความจริงในใจทุกๆ…อย่าง

ทุกครั้งที่เราพบกัน ทุกครั้งที่เธอหันมา
ที่ฉันเฉยๆ รู้ไหมฉันฝืนแค่ไหน

ได้ยินไหม หัวใจฉัน มันกำลังบอกรัก…รักเธออยู่
แต่ฉันไม่อาจจะเปิดเผยใจออกไป ให้ใครได้รู้
ได้ยินไหม หัวใจฉัน ยังคอยอยู่ตรงนั้น รอให้เธอเปิดดู
และหวังเพียงแค่เธอรู้ สักวันหนึ่ง…

ทั้งทีฉันก็รัก ทั้งที่ฉันก็รู้สึก
แต่ส่วนลึกข้างในยังไม่กล้า

ทุกครั้งที่เราพบกัน ทุกครั้งที่เธอหันมา
ที่ฉันเฉยๆ รู้ไหมต้องฝืนแค่ไหน

ได้ยินไหม หัวใจฉัน มันกำลังบอกรัก…รักเธออยู่
แต่ฉันไม่อาจจะเปิดเผยใจออกไป ให้ใครได้รู้
ได้ยินไหม หัวใจฉัน ยังคอยอยู่ตรงนั้น รอให้เธอเปิดดู
และหวังเพียงเธอจะรู้ สักวันหนึ่ง…

ได้ยินไหม หัวใจฉัน มันกำลังบอกรัก รักเธออยู่
แต่ฉันไม่อาจจะเปิดเผยใจออกไป ให้ใครได้รู้
ได้ยินไหม หัวใจฉัน ยังคอยอยู่ตรงนั้น รอให้เธอเปิดดู
และหวังเพียงเธอจะรู้ ว่าคนคนนี้รักเธออยู่
ยังไงขอให้เธอรู้ สักวันหนึ่ง…

.

.

.

กลายเป็นเพลงโปรดขึ้นมาทันทีหลังจากที่ดู “สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก” จบ..
เหมือนกับว่า ความรู้สึกลึกๆที่พยายามจะกลบ มันถูกขุดขึ้นมายังไงยังงั้น!!

เรื่องราวกุ๊กกิ๊กในเรื่อง ก็ไม่ได้ตรงกับชีวิตจริงซะทีเดียว (เพราะที่ผ่านมาจีบแต่รุ่นน้อง -*-)
แต่เหมือนมันมากระตุ้นความรู้สึก “แอบรัก” ที่เคยมี
จริงอยู่ว่าเรื่องราวมันไม่ใช่.. แต่ไอ้อาการแอบมอง แอบเพ้อ แอบฝัน แล้วก็แอบเข้าข้างตัวเองมันก็ไม่่ต่างกันนัก
ไอ้อารมณ์ขอเฉียดไปเห็นหน้าซักนิด หรือเค้าจำชื่อได้หน่อยก็ดีใจ นี่ก็เข้าใจเป็นอย่างดี
สรุปว่า ….อิน!!!
.

.

.

ตอนแรกๆของเรื่อง เหมือนกับว่าค่อยๆขุดเอาความรู้สึกลึกๆของการแอบรักใครซักคนขึ้นมา
มันน่ารักนะ ดูไปยิ้มไป คิดถึงสมัยที่เราแอบรักใครซักคน.. รักแบบไม่หวังอะไร มันก็มีความสุขดี
วันนึงก็ขอแค่ได้เจอ ขอแค่ได้เห็น ขอแค่ได้รู้ว่าเค้าเป็นยังไง
รักแบบพอเพียง… ซึ่งมันก็เพียงพอ

จนความสัมพันธ์มันเริ่มงอกงาม ในที่สุดเราก็รู้จักกัน แล้วก็ใกล้กันมากขึ้น
เหมือนเริ่มมีความคาดหวังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึก
ในใจก็คิดลึกๆล่ะว่า “พี่โชน” ก็ต้องมีใจให้บ้างแหละว๊า!!
ซึ่งก็เดาไม่ผิดใช่มั๊ยล่ะ ^^

.

.

.

เรื่องราวดำเนินไป ก็ยิ่งอินขึ้นทุกทีๆ…
ใกล้ตัวขึ้นทุกทีๆ…

“เดี๋ยวก็จะไม่ได้เจอพี่โชนแล้วนะ จะไม่ทำอะไรเลยเหรอ?”
ครั้งนึงก็เคยถามตัวเองแบบนี้
คิดจะบอกอยู่หลายที แต่ในที่สุดก็จบลงแค่คำว่า “ไม่กล้า”
กลัว.. สิ่งที่มันจะตามมา ทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง
แต่กับ “น้ำ” ถือว่าเธอแน่มาก..

“น้ำทำทุกอย่างเปลี่ยนแปลงทุกอย่างก็เพื่อพี่
แต่ตอนนี้น้ำรู้แล้วว่าสิ่งที่น้ำควรทำมากที่สุดและควรทำมาตั้งนานแล้ว
คือการบอกพี่โชนว่า….น้ำชอบพี่โชน

งประเด็นเป็นที่สุด!!!
ใช่แล้ว สิ่งที่ควรทำ แล้วก็ควรทำตั้งนานแล้ว ก็คือการบอกให้เค้ารู้
ถึงมันจะดีหรือจะร้าย แต่ก็ดีกว่าสุดท้ายไม่ได้ทำอะไรเลย
ดูซิ ช้าไปแค่อาทิตย์เดียว โดนชิงไปซะงั้น!!!
(ละนี่ช้าไปกี่ปีแล้ว?… อืมอย่าไปนับเลย = =)

.

.

.

ที่ดูแล้วน้ำตาไหลเป็นสายเลือด ไม่ใช่ตอนที่น้ำค้นพบว่าพี่โชนมีแฟนแล้ว
แต่มันบีบหัวใจ ตอนที่ได้รู้ว่า จริงๆแล้วพี่โชนเองก็แอบมองน้ำมาก่อนหน้านี้ตั้งนาน
ไดอารี่ที่เปิดไปแต่ละหน้า ยิ่งตอกย้ำความรู้สึก “เสียดาย”
ในใจก็คิดแต่ว่า “ถ้าวันนั้นได้บอกไป .. บางทีเค้าก็อาจจะรู้สึกกับเราแบบนี้บ้างก็ได้
…  If 3 – Present unreal -*- …. เพ้อเจ้อไม่มีที่สิ้นสุด!!

แล้วก็ฉากสุดท้าย เมื่อ 9 ปีผ่านไป
“พี่โชนแต่งงานรึยังคะ “
.
.
.
.
.
.
.

“พี่ก็รอคนกลับมาจากอเมริกาอยู่น่ะครับ”

ได้ยินไหม หัวใจฉัน ยังคอยอยู่ตรงนั้น รอให้เธอเปิดดู
และหวังเพียงเธอจะรู้ ว่าคนคนนี้รักเธออยู่

ยังไงขอให้เธอรู้ สักวันหนึ่ง… ~♪
.

.

.

จบได้ประทับใจมากกกกกกกกกกกกกกก
ไม่หวังให้ใครมารอลูลิกลับจากอเมริกา…
แค่“พี่โชน”รอ“น้ำ” ลูลิก็ดีใจแระล่ะ ^^

 

► ผัดซีอิ๊วแบบไทยๆ,, ทำเองก็ได้ ง่ายจัง ><

,, อุแหม่.. จั่วหัวแลดูโปรม๊ากมาก.. อันที่จริงแล้วก็ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก
เรื่องก็มีอยู่ว่า….. วันนี้ (22 สิงหาคม 2553) ลูลิลงมือทำอาหารเป็นครั้งแรกค่ะ!!

เรื่องมันเริ่มจากว่า คุณอาผู้หญิง (ที่ปกติเป็นคนทำอาหารให้กิน) เค้าหนีไปเที่ยว
เมื่อวานนี้ก็ออกไปกินข้าวข้างนอกกัน แต่อาหารที่นี่ไอ้ครั้นจะกินข้างนอกทุกวันมันก็ใช่เรื่อง -*-
วันนี้(หลังจากนอนอุตุมาทั้งวัน) ก็เลยตัดสินใจว่าเรามาทำอาหารกินกันที่บ้านเถอะ
ด้วยความเป็นเด็กดีอยากจะช่วยแบ่งแบาภาระ (จริงเหรอ?)
ก็เลยเสนอตัวลองทำอาหารให้ประชากรที่เหลือในบ้านกินกัน
สมาชิกผู้น่าสงสารในบ้าน อันได้แก่ อาผู้ชาย และน้องสาวอีกคน
ก็เลยต้องประสบชะตากรรม กลายเป็น“เหยี่อ” ให้ลูลิลองฝีมือ ^^

ด้วยความที่ไม่เคยทำอาหารเลย.. และไม่รู้อะไรเลยยยยยย..
คิดไม่ออกซักเมนู ว่าควรจะทำอะไร..
แต่พอดีว่าเมื่อวานนี้ไปกินอาหารไทย สั่งผัดซีอิ๊วมากิน อร่อยม๊ากกกกกกกกกก
ก็เลยคิดว่า ผัดซีอิ๊วนี่แหละวะ.. เผื่อมันจะอร่อยเหมือนเค้า!!!

แล้วก็เลยมุ่งหน้าไปที่ตลาดจีน (หาส่วนผสมของเอเชียทุกอย่างได้ที่นี่!!)
เพื่อซื้อซีอิ๊วหวาน แมกกี้ เส้น และอื่นๆ
หน้าตาตลาดจีน เป็นตึกชั้นเดียวเหมือนแมกโครเลย

ปล.ลูลิขับรถไปเองด้วยนะ (อานั่งไปข้างๆ) เป็นการหัดขับรถไปด้วยในตัว ><

กลับมาบ้านก็พิมพ์มั่วๆลงไปในกูเกิล “ผัดซีอิ๊ว วิธีทำ”
เจอเวปไหนเวปแรก ก็ตามนั้น…
จำไม่ได้แล้วว่าเวปไหน (ขออภัยที่ไม่ได้ใส่ URL)
ในเวปก็จะบอกว่าต้องใช้สวนผสมเท่าไหร่ อะไรบ้าง..
เส้นกี่กรัม ผักกี่กรัม (ไม่ได้ชั่งหรอก หยิบเอาตามใจฉัน) แล้วก็เครื่องปรุงใช้อะไรเท่าไหร่
รวมทั้งวิธีทำทีละขั้นตอนเลย..

ก่อนอื่นก็เตรียมส่วนผสม อันประกอบไปด้วยซอสชนิดต่างๆ แล้วก็เนื้อ เส้น แล้วก็ผัก

เส้นขาวๆ จริงๆมันทำมาเรียบร้อยแล้วเป็นแพค
ก็เอามาแยกให้เป็นเส้นชั้นเดียว (จากม้วนๆเป็นปึกๆ)
ใส่จานไว้ แล้วก็เอาซีอิ๊วหวานคลุกๆ ให้กลายเป็นเส้นดำๆ ^^

หั่นไก่ หั่นผัก แล้วก็ตีกระเทียม (กระเทียมกระเด็นไปอยู่ในจานแล้ว ลืมเอามาใส่ถ่ายรูป อิอิ)

แล้วก็ใส่ลงไปคลุกๆๆๆๆ… ทำเหมือนทำยำเลย 5555
เอากระเทียมใส่ก่อน แล้วก็ไก่ แล้วก็ไข่ ตามด้วยเครื่องปรุงทั้งหมด
แล้วมันก็จะเละๆ แลดูสยองๆนิดนึง
ก็เอาเส้นดำๆนี่ใส่ลงไป แล้วก็ตามด้วยผัก
คลุกๆจนคิดว่ามันกินได้ ก็เอาขึ้น… หน้าตามันก็จะออกมาประมาณนี้ อิอิ

บ้านนี้เค้ากินไม่เค็ม เลยไม่ได้ใส่ซีอิ๊วให้มันดำปี๋เหมือนที่ร้านเค้าทำ
แต่สุดท้ายออกมาก็รสชาติใช้ได้ ถือว่าเลิศเลอเพอเฟกต์สุดๆสำหรับอาหารจานแรก ^^
คราวหน้าจะลองทำอย่างอื่นอีก (ชักจะติดใจ ><)
แล้วเอาไว้จะเอามาโชว์อีก… เอาไปเสริฟก่อนละ *ฟิ๊ววววว*


^^ v

 

► จัดกระเป๋าเตรียมบิน,, 30 กิโลที่แสนจะลำบากใจ August 21, 2010

,, จั่วหัวเอาไว้ว่า 30 กิโล เพราะคิดว่าคนที่จะไปเรียนต่อก็คงซื้อตั๋วนักเรียนทุกคนแหละเนอะ
โดยปกติแล้ว”ตั๋วนักเรียน”ก็จะอนุญาติให้เราแบกของไปได้ 30 กิโลอยู่แล้ว
(Economy class ปกติไ้ด้ 20 กิโล)
แต่ว่าถ้าหากว่าใคร นั่งเฟิร์ส นั่งบิส หรือพรีเมี่ยมอีโค่ จำนวนน้ำหนักก็จะแตกต่างออกไปจากนี้ค่ะ

ลูลิเลือกนั่งพรีเมี่ยมอีโค่ (Premium economy class) ซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นระหว่างกลางระหว่างบิสกับอีโค่
เพราะว่าระยังทางอันยาวไกล (บินตรง 16 ชั่วโมง) ทำให้รู้สึกว่านั่งอีโค่คงเป็นง่อยตายก่อนเป็นแน่แท้
แพลนเอาไว้ว่าคงร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาไหลเป็นสายเลือด เลยอยากได้เบาะกว้างๆไว้ซับน้ำตา (เวอร์ 555+)
ตั๋วพรีเมี่ยวอีโค่ ก็เพิ่มเงินขึ้นมาอีกไม่เท่าไหร่(เหรอ?) ด้วยความรักสบาย ก็เลยเอาวะ!!!
ตั๋วเที่ยวเดียว กรุงเทพ-ลอสแองเจลิส ของลูลิก็ฟาดไป 37,000 บาท โดยประมาณ
จำไม่ได้แระว่ามันแพงขึ้นมากว่าอีโค่เท่าไหร่ – -;

สำหรับคนที่จะนั่งพรีเมี่ยมอีโค่ อยากจะแอบเดือนกันซักนี๊ดนึง เผื่อจะมีคนลืมตัวอย่างลูลิ
ตั๋วพรีเมี่ยมอีโค่ มันก็คืออีโคโนมี่คลาสดีๆนี่เองล่ะค่ะ
เพราะฉะนั้น มันให้เราบกของไปได้ 20 กิโล เท่าอีโค่เท่านั้นเองนะคะ
ถึงจะจ่ายแพงกว่า ที่นั่งดีกว่า อาหารดีกว่า แต่ว่าไม่ได้เพิ่มที่ในท้องเครื่องบินให้ด้วยนะจ๊ะ ^^

Photobucket

ปล. ตามกม.ของอเมริกา กระเป๋าใบนึงจะหนักได้ไม่เกิน 23 กิโล (50 ปอนด์) เท่านั้น
แต่ถ้า Business class หรือ/และ มีบัตรทอง royal orchid ก็จะได้ 32 กิโล (70 ปอนด์)
(แล้วไอ้ยักษ์ของลูลิผ่านมาได้ไง 55555+)

.

.

.

กลับมาเข้าเรื่องการจัดกระเป๋า
อย่างที่เคยเ่ขียนในเอนทรี่ก่อนๆไปบ้างแล้ว ว่าน้องสาวลูลิจะไปเรียนต่อที่อังกฤษในเวลาไล่เลี่ยกัน
เพราะฉะนั้นเราสองคนก็เลยไปชอปปิ้งพร้อมๆกัน ซื้อของเหมือนๆกัน เตรียมของเหมือนๆกัน
โดยที่ยึดเชคลิส(ที่หาจากในเน็ต)อันเดียวกัน!!

แต่พอมาถึงอเมริกาจริงๆ กลับพบว่า “เชคลิสในอินเตอร์เน็ตมันเชื่อถือไม่ได้!! 100%”
เหมือนกับว่ามิกซ์กันมั่วไปหมดระหว่าอังกฤษและอเมริกา
หลายอย่างที่ขนมาที่นี่ สามารถหาซื้อได้ในราคาถูกแสนถูก ไม่คุ้มค่าการแบกมาซักกะตี๊ดเลยเชียว -*-

.

.

.

การจัดกระเป๋า น่าจะซื้อของล่วงหน้าประมาณนึงนะคะ จะได้ไม่ร้อนรนตอนที่ใกล้ๆถึงเวลา
(พอใกล้เดินทาง จะรู้สึกไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น -*-)
โดยแบ่งข้างของออกเป็นหมวดๆ เพื่อง่ายต่อการแพค แล้วก็ง่ายต่อการเชคด้วยค่ะ
หลายครั้งที่แพคกระเป๋าไปเมืองนอก ลูลิเลือกใช้วิธี ลิสรายชื่อของออกมาเป็นหมวดๆก่อน
แล้วก็มีกระดาษอีกใบเป็นลิสของที่จะต้องไปซื้อ แยกตามสถานที่ที่จะไปซื้อ เช่น โลตัส สยาม พารากอน บลาๆๆ
พอได้ของมาก็ใส่ถุงรวมกันเอาไว้เป็นก้อนๆ เื่พื่อง่ายต่อการแพคลงกระเป๋านั่นเอง ^^

ลิสของลูลิจะแบ่งออกเป็น 7 หมวด นะคะ
แต่ว่าแต่ละคนก็อาจจะแบ่งต่างๆกันออกไปล่ะเนอะ
1.เสื้อผ้าอาภรณ์
– เสื้อ / กางเกง / กระโปรง
– ชั้นใน
– ถงเท้า / รองเท้า
– กระเป๋า
2. เครื่องประดับ ของใช้ส่วนตัว
– เครื่องสำอางค์
– อุปกรณณ์ทำผม
– เครื่องประดับ
– ของใช้ส่วนตัว
– ของจุกจิก
3. อาหาร
4. เครื่องใช้ไฟฟ้า
– คอมพิวเตอร์
– กล้อง
– อื่นๆ
5. ยา
6. เครื่องเขียน
7. เอกสาร

.

.

.

ซึ่งขอย้ำอีกทีค่ะ ว่าอเมริกา และอังกฤษไม่เหมือนกัน
ถึงจะเป็นต่างประเทศเหมือนกัน พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน แล้วคนมันก็ตาฟ้าผมทองเหมือนกัน
แต่วิถีชีวิตความเป็นอยู่ แตกต่างกันนะคะ
ของที่หาซื้อไม่ได้ในอังกฤษ หาได้ในอเมริกาค่ะ ^^

เรามาเชคกันทีละหมวดดีกว่าเนอะ!!

.

.

.

.

.

1.เสื้อผ้าอาภรณ์

– เสื้อ / กางเกง / กระโปรง
– ชั้นใน
– ถงเท้า / รองเท้า
– กระเป๋า

เสื้อผ้าที่นี่มีหลายราคาค่ะ ก็เหมือนกับในประเทศไทย ซื้อในพารากอน กับซื้อตลาดนัดราคาก็ต่างกัน
ฉันใดก็ฉันนั้น… เด๊ะ!!
อาทิตย์แรกที่มา ลูลิเดินดูในห้่างเปิดใหม่แถวซานตามอนิก้า (ฺSata Monica) ชื่อบลูมมิ่งเดล
ห้างนี้สวยมาก แล้วก็หรูมาก เสื้อกล้ามห่วยๆบางๆ ควอลิตี้แบบที่สามารถซื้อในตลาดประตูน้ำได้ในราคา 20 บาท
ที่นี่ขาย $40 ….. 1220 บาท (อัตรแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32 บาท)  *ปาดเหงื่อ*
ร้านถัดไป..เสื้อแจกเกตมีเฟอร์ น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก มองแล้วให้ราคาอย่างแพงเลย ก็ไม่น่าเกิน 4,000 บาท
พลิกป้ายคาราดู ลมแทบจับ $395 (12,640 บาท)  … นี่ัยังไม่รวมแคลิฟิเนียแทก (CA TAX) อีก 10% นะคะ
ณ วันนั้น อยากกลับเมืองไทยทันที อยู่ที่นี่ต้องไม่มีเสื้อผ้าใส่แน่ – -;

วันถัดมา ได้ไปเดินเล่นที่ Wallmart ก็ร้านขายของราคาถูกขนาดใหญ่ น่าจะเทียบได้กับโลตัสบ้านเรา
เสื้อผ้า(ไม่ค่อยสวย) ที่นี่ ราคาประมาณ $10 – $50
จับเนื้อผ้าดูก็รู้สึกว่าโอเคอยู่ล่ะนะ ^^

แต่พอได้ย้ายบ้านมาอยู่บ้านอา น้องชาย(ลูกอา) ก็เลยพาไปเดินเล่นในห้างแถวบ้าน
ก็น่าจะเทียบได้กับเดอะมอลล์ เซนทรัลไรงี๊แหละ
ในห้่างมีขายของหลายแบรนด์เลย ละลานตาไปหมด
แอบโฉบเข้าไปใน Forever21 ร้านโปรดของลูลิ
เฮ๊ยยยยยย กางเกง $10 จอร์จจี้~
ต่อด้วย Zara เสื้อแขนยาวตัวละ $12
ดูดีมีชาติตระกูล และอยู่ในราคาที่พอซื้อได้ (ขอใช้คำว่า”พอซื้อได้” เพราะไม่ได้เต็มใจซื้อ 555)
สรุปแล้ว… เสื้อผ้าที่นี่ สามารถหาซื้อได้ค่ะ ถ้ามีเวลาได้เดินชอปปิ้งซะหน่อย

Photobucket

Luli’s check list

– เสื้อผ้า
– กางเกงยีนส์ (x5) ,, นึกว่าจะหนาว อีธ่อ.. สุดท้ายใส่กางเกงขาสั้นทุกวัน -*-
– กางเกงยีนส์ขาสั้น (x3)
– กางเกงขาสั้นใส่อยู่บ้าน (x5)
– กางเกง longjohn (x2)  ,, ตอนนั้นก็กลัวจะหนาว แต่ไม่เป็นไร ยังไงเด๋วมันก็ต้องหนาว 55
– เสื้อยืดใส่นอน (x5) ,, เหมือนจะแบกมาเกิน -*-
– เสื้อยืดใส่ไปข้างนอก
– เสื้อกล้ามแฟชั่น
– แจกเกต / จัมพ์เปอร์
– ผ้าพันคอ
– หมวก
– ผ้าเช็ดตัว (x2)

เสื้อผ้าหน้าหนาวไม่ต้องขนมาเยอะ (เพราะ LA ร้อน -*-) มานี่ค่อยๆเลือกซื้อพวกของหลุดซีซั่นดีกว่า ^^
แต่เสื้อผ้าหน้าร้อนเอาติดมาก็ดี อย่างพวกเสื้อยืดที่นี่มันแพง ^^
____________________

– เสื้อชั้นใน
– กางเกงชั้นใน
– เสื้อกล้าม ,, เผื่อหนาวจะได้ใส่ไว้ข้างในไง
– เสื้อผูกคอ
– เสื้อคลุมอาบน้ำ
____________________

– ถุงเท้า
– รองเท้าผ้าใบ
– รองเท้าส้นสูง
– รองเท้าแตะ

ร้านรองเท้าที่นี่ก็มีให้เลือกเยอะเหมือนกัน
อย่างรองเท้า Sketchers ที่เมืองไทยขายคู่ละ 2,800 ลูลิซื้อจาก Outlet มาราคา $32 (1024 บาท)
แถมคู่ 2 ลดราคาครึ่งนึง เหลือ $17 (544 บาท) … สุดปลื้มเลย ^^
ปล.แต่น้องชายลูลิบอกว่า เด็กมหาลัยเค้าไม่ใส่ Sketchers กัน มีแต่เด็กๆใส่ล่ะ ,, ไม่เป็นไร เด๋วจะนำเทรนด์เอง 555+
____________________

– กระเป๋าหิ้ว

กระเป๋าที่นี่ก็คงไม่ต้องบอก Coach ถูกกว่าเมืองไทยประมาณครึ่งนึงได้ = =’
ที่ Outlet เจอรุ่นเที่เห็นหิ้วกันเยอะๆในเมืองไทย ราคาประมาณ $70 เอง
แต่ใน Shop ก็ราคาเท่ากับที่เชคในเวปของมันเลยค่ะ (เวลาคิดราคา อย่าลืมบวก TAX ไปอีก 10% ด้วยนะจ๊ะ ^^)

.

.

.

.

.

2. เครื่องประดับ ของใช้ส่วนตัว

– อุปกรณ์หน้า
– อุปกรณ์ผม
– เครื่องประดับ
– ของใช้ส่วนตัว
– ของจุกจิก

เครื่องประดับเป็นสิ่งที่อยากบอกดังๆเลยว่า “เอามาเต๊อะ”
เพราะว่าของที่นี่ ไม่สวย และ แพงงงงงงงงงง!!

เครื่องประดับที่นี่ที่ราคาพอซื้อได้ ส่วนมากก็จะมาจากจีน เมดอินไชน่าแทบทั้งสิ้น
ซึ่งมันก็จะแลดูก๊องแก๊งจนเกินงาม ส่วนไ้อ้ที่มันงาม มันก็แพ๊งเแพงจนไม่อยากจะงามกับมัน -*-
ก่อนมาลูลิไปเดินพลาตินั่มกับน้องสาว
ได้สร้อยคอมาเป็นกอบเป็นกำในวงเงินไม่เดิน 2,000 บาท
ไม่มีอะไรทำ ก็เอาสร้อยมานั่งดู … ฮ๊าาา มีความสุขจริงๆ 5555

ของที่นี่แพง แต่… ยกเว้นเครื่องสำอางค์นะคะ ที่ถูกจนน่าตกใจ ><
เครื่องสำอางค์ยี่ห้ออื่นไม่รู้ราคาเท่าไหร่นะ เพราะว่าไม่เคยใช้
แต่จะยกตัวอย่าง Clinique ละกัน..
ตอนแรก ก็ชั่งใจอยู่ว่าจะซื้อมาเลยดีมั๊ยน๊า เพราะ duty free ที่สนามบินพ่อก็ลดราคาได้อีก 10-20%
แต่ไปๆมาๆ มา้เสี่ยงดวงที่นี่ดีกว่า (พูดเหมือนเข้าคาสิโน 5555+)
แล้วก็ปรากฎว่า คิดไม่ผิดจริงๆ!!!! ปลื้มตัวลอย ลัลล๊ามากกกกกกกกก
ราคา Clinique ที่นี่ ถูกกว่าใน dutyfree ที่เมืองไทยครึ่งนึง!!
จริงๆบวก TAX เข้าไปแล้วก็ไม่ถูกมาก แต่ก็เทียบกับราคาไทยแล้วหน้ามืดไปตามๆกันล่ะค่ะ
ท้าให้เชคราคา ^^
ของไทย : http://www.clinique.co.th/th/homepage/
ของเมกา : http://www.clinique.com/
ของที่อเมริกานี่ ราคาจะเท่าในเวปเด๊ะๆทุกอย่างเลยค่ะ แต่ว่าเวลาคิดเงินต้องอย่าลืมพวก TAX ของรัฐนั้นๆด้วยนะคะ
(แต่ละรัฐ TAX ไม่เท่ากัน อย่าง CA มันประมาณ 9.8% แต่เมืองข้างๆ 8.6% ไรงี๊)

Photobucket

Luli’s check list

– เครื่องสำอางค์
– Cotton butt
– สำลี ,, จริงๆมันก็ซื้อที่นี่ได้นะ ราคาไม่ต่างกัน แต่มันเบาๆ ถ้ามีที่เหลือก็ยัดๆมาเถอะค่ะ
– สบู่ล้างหน้า
– โลชั่น
– ยาสระผม
– ครีมนวด
– สบู่อาบน้ำ
– ยาสีฟัน
– แปรงสีฟัน

ในหมวดนี้ จริงๆหาซื้อที่นี่ได้หมดเลยค่ะ
แต่ลูลิติดเอาเครื่องสำอางค์ที่เคยใช้มา ไม่ได้ซื้อใหม่
ส่วนสบู่ แชมพู ยาสีฟัน แปรงสีฟัน พวกนี้มันค่อนข้างจะหนัก และกินที่
ถ้าหากว่าไม่ได้ติดแบรนด์อะไร มาหาซื้อที่นี่ได้ค่ะ
มียี่ห้อคล้ายๆเมืองไทยอยู่เหมือนกัน (เยอะจนเลือกไม่ถูก เลยคว้าเอาที่คุ้นเคยมาเลย 555+)
____________________

– หวีกลม
– หวีแปรง
– หวีซี่
– กระจกตั้งโต๊ะ
– ยางรัดผม
– กิ๊บติดผม
– โรลม้วนผม
– หมวกอาบน้ำ
– ไดร์เป่าผม
– ครีมบำรุงผม

ถ้าจะเอาไดร์เป่าผมมาจากเมืองไทย อย่าลืมว่า ไฟที่อเมริกาคือ 110v เท่านั้น!!
พลิกดูที่ปลั๊ก หรือที่ตัวไดร์ดีๆ ว่ามันปรับให้รองรับไฟ 110v รึเปล่า (เมืองไทยมัน 220v)
____________________

– แคร์ฟรี
– ผ้าอนามัย
– แป้งฝุ่น

นี่ก็หาซื้อที่นี่ได้เหมือนกันค่ะ เห็นมีหลายยี่ห้อให้เลือกใช้เลย
แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นยังไงเหมือนกันนะ เอาไว้ลองแล้วจะบอก 5555+
ส่วนแป้งฝุ่น แป้งฝุ่นที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยเท่าไหร่
แบบว่าเหมือนแป้งทำอาหารง่ะ มันละเอียดมากกกกกกกกกกกกกกก
ตอนเคาะออกมา ต๊กกะใจเลย ^^”
____________________

– ชุดตัดเล็บ
– ชุดเย็บผ้า
– ร่ม
– มีดพก
– ที่โกนขนจั๊กกะแร้ (ถ้าต้องใช้)
– ผ้าปิดตา
– ไขควง
– เข็มกลัด
-ไม้แขวนเสื้อ
– ไม้หนีบผ้า
– ขันตักน้ำ
– พัด
– พระ
– สร้อยพระ

เซตนี้เป็นเซ็ดที่ทุกคนจะต้อง งงเต้ก!! ว่าอะไรของมัน 55555
มันเป็นของจุกจิกของลูลิอ่ะค่ะ จริงๆแล้วแต่ละคนก็คงแตกต่างกันออกไป
ชุดตัดเล็บ จริงๆที่นี่ก็มี ,, ลูิลิโง่ไปซื้อ made in USA มาจากเมืองไทย เพิ่งรู้สึกตัวตอนมาถึงที่นี่ นี่ชั้นต้องการอะไร = =’
มีดพก อย่าลืมเอาใส่กระเป๋าใหญ่นะคะ ไม่งั้นมีดจะต้องนอนแอ้งแม๊งอยู่ที่สนามบินไม่ได้บินมาด้วยแน่นอน
ไม้แขวนเสื้อซื้อที่ wallmart ได้ค่ะ ถูกมากแล้วก็สวย และแข็งแรงมากเลย
แต่ไม้หนีบผ้าเท่าที่เดินดูมันหาไม่เจอง่ะ ซื้อติดมาซักห่อก็ได้ค่ะ มันเบาๆ

ส่วนขัน!! งงล่ะสิ ว่าเอามาทำไม
เรื่องมันมีอยู่ว่า ส้วมที่นี่มันไม่มีที่ฉีดก้น …. จบ!! 5555555+
ไม่ขอเล่ามาก เด๋วจะติดเรทอนาจาร ;p

.

.

.

.

.

3. อาหาร

อาหารนั่นสำคัญไฉน..?
ตั้งแต่ลูลิมาอยู่ที่อเมกา ยังไม่รู้สึกว่าอาหารที่นี่แตกต่างจากบ้านเราตรงไหน
(คงเพราะอยู่กับครอบครัวอา เลยกินอาหารจีนตลอดด้วยมั๊ง)
แต่สำหรับบางคนที่มาอยู่เอง ก็อาจจะต้องการอาหารจากบ้านเกิดมาเหมือนกันเนอะ
ลูลิเองก็มีของที่อยากกิ๊นอยากกิน และขาดไม่ได้อยู่ 2-3 อย่างเหมือนกัน ><

แต่!!!
อย่าลืมว่า ที่นี่คืออเมริกาค่ะ ้ามเอาของสดเข้าโดยเด็ดขาด หมูหยอง เนื้อแดดเดียว คอหมูย่าง น้ำำพริก ลืมไปได้เลย!!
ซุกซ่อนยังไงก็ไม่เป็นผล เพราะกระเป๋าของนักเรียนทุกคน จะต้องโดนสแกนอย่างละเอียด
ถ้าเค้าเห็นของหน้าตาแปลกๆในเครื่องแสกน ก็ได้เปิดโชว์ของตรงนั้นเลยล่ะค่ะ
เสื้อนงเสื้อใน ออกมาผึ่งกันให้ว่อน 5555+
ถ้าไม่อยากโชว์ ก็อย่าเอามาดีที่สุด

แต่!!! (อีก)
อย่าลืมว่าที่นี่คือ Los Angeles สุดยอดของ  Multiculture city
อาหาร (และของใช้) ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี กัมพูชา หาได้หมดค่ะ
ข้างๆบ้านลูลิมีซุเปอร์มาเกต ชื่อ Woori Market เป็นตลาดเกาหลี
เดินเข้าไปแล้วรู้สึกคุ้นเคยมาก เพราะเปิดเพลงดงบัง บิ๊กแบง แล้วก็มีมาม่าเกาหลีเต็มไปเมื๊ดดดด
อาลูลิบอกว่า ตลาดของคนเอเชียมีเยอะมากๆใน LA
เราสามารถหาของเอเชีย(หรือแม้กระทั่งของไทย)กินได้ โดยไม่ต้องถ่อไปถึง Thai Town
(บ้านลูลิอยู่ไกลจากไทยทาวน์มากง่ะ  2 ชั่วโมงเห็นจะได้ T^T)

Luli’s check list

– Furikake ,, ผงโรยข้าวจากญี่ปุ่น หยุดไม่ได้ขาดใจอ่ะอันนี้ ><
– โลโบ ,, ที่นี่ซองละ 15 บาทไรงี๊เอง ถ้าจะซื้อเลือกรถแปลกๆมาค่ะ ที่นี่มีขายแต่เป็นรสพื้นๆ
– มาม่า ,, เป็นไอเทมที่ลูลิหยิบออกในตอนสุดท้าย แล้วก็มานั่งเสียใจ T^T มาม่าืั้ที่นี่มีค่ะ แต่ซองใหญ่มากและรสชาติมันไม่ใช่!!
– โจ๊กซอง
– หอยกระป๋อง ^^
.

.

.

.

.

4. เครื่องใช้ไฟฟ้า

– คอมพิวเตอร์
– กล้อง
– อื่นๆ

หมวดนี้เป็นหมวดที่จำเป็นมากที่สุดสำหรับลูลิ
มากกว่าอาหารและเสื้อผ้า คิดดูว่าจำเป็นขนาดไหน 55555+
อยากจะบอกว่า อเมริกาอุปกรณ์อิเลกทรอนิกถูกม๊ากกกกกกกกกก!!
ราคาเท่าเมืองไทย หรือไม่ก็อาจจะถูกกว่าในบาง items ด้วยซ้ำ

ลูลิเดินเชคราคาเล่นๆที่ Wallmart
External Harddisk ของ Western รุ่น Estensial book ราคาราวๆ 3,000 นิดๆ
ลูลิก็ซื้อมาจากเมืองไทยในราคาันั้นล่ะ -*- แบกให้หนักเปล่าๆปลี้ๆ!!
ถ้าหากว่าไม่ได้ตั้งใจใส่ข้อมูลมา ก็สามารถหาซื้อได้จากที่นี่เลยค่ะ
Thumbdrive 4Gb หน้าตาสวยงามน่าใช้มาก ก็ $9.99 เอง
เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องกว้านซื้อ มาซื้อที่นี่บ้างก็ได้ ^^

Photobucket

Luli’s check list

– Computer note book
– คีบอร์ด + เมาส์ wireless ,, ขนมาจากไทย เพราะจะได้มีภาษาไทยไง 555
– แผ่นรองเมาส์
– Adapter แปลงไฟ 110v <-> 220v  ,, เผื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างไม่รองรับไฟ 110v (แต่ยังไม่เจอซักชิ้น -*-)
– สาย lan ,, เผื่อต่อเน็ตหอ ,, แต่ที่นี่เค้าเป็น wireless หมดง่ะ -*-
– Thumb drive ,, อย่างที่บอก หาซื้อที่นี่ได้สบายๆ สวยกว่าของไทยเยอะ
– External harddisk บรรจุข้อมูลเต็มเปี่ยม!!
– VCD / DVD เปล่า
– DVD หนัง ,, แบบว่าใส่ HDD ก็ยังไม่พอใจ (แต่ไม่ได้หยิบออกมาจากกระเป๋าด้วยซ้ำ = =)
– ปลั๊กสามตา
– ไมโครโฟน
– ลำโพงเล็กๆ
– สายรัดสายไฟ
____________________

– กล้อง
– สายชาร์ต
– เมมโมรี่
– ยากันชื้น
– กระเป๋ากล้อง
– กล่องเก็บกล้อง

ปล.มีกล่อง + ยากันชื้น เพราะว่าแบก DSLR มา (แลดูไม่มีโอกาสได้ใช้ 5555)
____________________

– มือถือ
– สายชาร์ตมือถือ
– USB ของมือถือ
– Talking dict
– สายชาร์ต Talking dict
– MP3 Player
– USB ของ MP3 Player
– เครื่องอัดเสียง

.

.

.

.

.

5. ยา

ซื้อยา(บางอย่าง) จะต้องมีใบรับรองแพทย์ถึงจะซื้อได้ค่ะ
คนที่นี่ก็เลยแนะนำว่าให้เอายาติดตัวมาด้วย เวลาที่ป่วยจะได้ไม่ลำบาก
จริงๆแล้วนักเรียนที่นี่ทุกคน จะต้องทำประกันด้วย
ลูลิทำประกันกับโรงเรียน คิดอาทิตย์ละ $20
แต่พอถามว่า ประกันแต่อุบัติเหตุเหรอ แล้วถ้าป่วยไปหาหมอได้มั๊ย
ไดเรกเตอร์ก็บอกว่าให้มาบอกก่อนว่าจะไปหาหมอ แล้วเด๋วตอนนั้นจะบอกเองว่าไปได้มั๊ย…. เง้อออ? -*-
เพราะฉะนั้นแล้ว การแบกยา(บางอย่าง)มาด้วยก็เป็นการดีค่ะ แต่ต้องศึกษาวิธีกินมาด้วยนะ!!
ปกติที่บ้านลูลิก็ไม่เคยหาหมออยู่แล้ว พ่อกับแม่เป็นคนสั่งยาให้ตลอด
เพราะฉะนั้น ป่วยก็คงตรวจทางสไกป์เอานี่ล่ะ!!

ยาของลูลิอาจจะเยอะหน่อย เพราะว่าขี้โรค  =3= แต่ส่วนมากก็เป็นยาสามัญประจำบ้านนี่ล่ะค่ะ
ส่วนที่จำเป็นต้องเอามาจริงๆก็คือ “ยาแก้อักเสบ” ,, ไม่รู้ว่าที่เมืองไทยสามารถซื้อได้หรือว่าต้องใช้ใบสั่งยาเหมือนกันนะ
แต่ว่าที่นี่ต้องพบหมอเท่านั้น เพราะว่ายาแก้อักเสบมันถือเป็นยาอันตราย

Luli’s check list

* Amoxicilin
* Norfoxacin
– Paracetamol
– Telfast
– Bompheniramine / Corpheniramine
– Ibuprophen / Ponstan
– ยาคลายกล้ามเนื้อ
– ยากแก้ท้องเสีย
– ยานอนหลับ
– ยาระบาย
– อีโน
– Oreda เกลือแร่กินหลังท้องเสีย
– ยาป้ายปากแก้ร้อนใน
– พลาสเตอร์
– ผ้ากอซ / เทป
– เบตาดีน
– โวทาเลน
– แซมบัค
– ยาหม่อง / ยาดม
.

.

.

.

.

6. เครื่องเขียน

อ่านเจอในเน็ตบอกว่าเครื่องเขียนที่ต่างประเทศแพง แล้วก็ไม่เยอะเหมือนอย่างบ้านเรา
ลูลิก็เลยกว้านซื้อมาอย่างเยอะ
แต่.. ตอนไปเดิน Wallmart (อีกแล้ว) ก็พบว่า
เครื่องเขียนที่นี่ถูกมาก!! แต่อาจจะซิมเปิ้ลๆ แบบเหมือนที่ขายที่โลตัสบ้านเรา
สมุดโน๊ต เล่มละ 20เซนต์ เท่านั้นเอง ถูกมากกกกกกกกกกกกกกก *เป็นลม*
ไส้ดินสอกดที่ว่าที่อังกิดแพง ที่อเมริกาไม่แพงนะคะ เพระาฉะนั้นไม่ต้องซื้อมาตุน
ปากกาเขียนซีดีที่บอกว่าที่อังกิดไม่มี ที่อเมริกามีค่ะ!!

Luli’s check list

– ปากกาสีๆ
– Hi-light
– ดินสอกด
– ไส้ดินสอกด
– ยางลบ
– ไม้บรรทัด
– ลิควิด
– ถุงใส่ดินสอ ,, ถ้าอยากได้น่ารักๆก็เอามาจากไทยเลยค่ะ
– แมกซ์
– ลูกแมกซ์
– เครื่องคิดเลข
– ปากกาเขียน CD
– สกอตเทป
– คลิปหนีบกระดาษ
– คัตเตอร์
– กรรไกร
.

.

.

.

.

7. เอกสาร / หนังสือ

สิ่งสุดท้ายที่ทำให้กระเป๋าหนักสุดๆ -*-
ลูลิแบกหนังสือมา 40 เล่ม..!!
ตอนแรกมองๆก็ไม่คิดว่าเยอะเท่าไหร่ แต่พอมานับจริงๆ
อืมมมมมมมมม เยอะเป็นเรื่องเป็นราว
(แล้วก็ยังไม่ได้แกะออกจากห่อจนถึงวันนี้ หุหุ)

แต่อยากบอกว่า หนังสือภาษาอัังกฤษไม่จำเป็นต้องเอามานะคะ
วันนี้ (สดๆร้อนๆ) ที่โรงเรียนพาไปร้านหนังสือมือสอง
นิยายเล่มละ $1 ถูกมั่กๆๆๆๆๆๆ =[]= เซอร์ไพร์สที่สุดในโลก!!
แต่หนังสือไทย อาจจะไม่มีขาย อยากได้ต้องเอามาเอง อิอิ

Luli’s check list

– Passport
– Acceptance letter (จากโรงเรียนภาษา)
– Offer letter (จากมหาลัย)
– Offer letter (จากหอพัก ในกรณีที่จองหอ)
– ตั๋วเครื่องบิน
– ใบขับขี่สากล
– ใบขับขี่ไทย ,, เค้าบอกว่า ที่นี่ใบขับขี่ไทยได้รับการยอมรับมากกว่าใบขับขี่สากล = =’
– บัตร ATM
– บัตร Credit
– บัตร Debit
– รูปถ่ายติดบัตร
– Transcript

.

.

.

.

.

เตรียมของครบแล้ว แล้วก็เริ่มต้นแพคกระเป๋า
อาจจะใช้เวลาประมาณวันนึง เพราะว่ายัดไม่ลง 555555+
ลูลิแนะนำว่าให้ซื้อกระเป๋าลากๆแบบที่เค้าลากไปชอปปิ้งพลาตินั่มกันมาใช้ (เลือกแบบดูดีหน่อยก็ได้นะ)
เพราะว่าอเมริกาไม่ยอมให้เราล๊อคกระเป๋าอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น กระเป๋าแบบล๊อคได้ก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่
อาจจะมีใบที่ล๊อคได้ใบนึง (รุ่นใหม่ที่มีช่องไขกุญแจของตม.โดยเฉพาะ) เอาไว้ใส่พวกของเล็กๆหรือของมีค่า
แล้วก็ใบที่ล๊อคไม่ได้ ใส่เสื้อผ้า / หนังสือไป อะไรแบบนั้น

ของที่แตกหักได้ก็เอามาใส่กระเป๋าเล็กแบกขึ้นเครื่องนะคะ
เพราะว่าไม่งั้นพนักงานจับกระเป๋าโยนไปโยนมา ของคงแหลกหมดแน่แท้!!

Photobucket
แพคอย่างดี สำคัญยิ่งชีพ ><

ของลูลิมีกระเป๋าใหญ่มหึมา 3 ใบ กระเป๋าลากขึ้นเครื่อง 2 ใบ กระเป๋าโน๊ตบุค 1 ใบ กระเป๋ากล้อง 1 ใบ
น้ำหนักรวม (เฉพาะใบที่ชั่ง) 80 กว่าโล… 2 ใบที่ลากขึ้นเครื่อง ค่อนข้างมั่นใจว่าหนักกว่า 20 โลแน่ๆ 5555+
สิริรวมน้ำหนักที่ขนมาอเมริกา มากกว่า 100 กิโลกรัม!!!
โชคดีจริงจรี๊งงงงงงง ที่พ่อบินมาส่งด้วย ไม่งั้นมีแต่ตายกับตายลูกเดียว =3=*

Photobucket

Photobucket

สรุปแล้วก็คือ… ของบางอย่างมาหาซื้อที่นี่ได้ในราคาพอๆกัน
อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไว้บ้านบ้างก็ได้นะคะ อย่าเอาลูลิเป็นเยี่ยงอย่างล่ะ 555555+

End.

 

► วีซ่านักเรียนอเมริกา (F1),, แล้วมันก็มาถึงมือ August 7, 2010

Filed under: ☺☺ USA :: August 2010 — lady2go @ 11:46 pm
Tags: , , ,

,, แล้วซองเหลืองๆจากสถานฑูตก็มานอนแอ้งแม๊งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมจนได้

ลูลิถอนหายใจเฮือกโตๆ.. เฮ้ออออออออ มาจนได้สินะ
ทีนี้ไม่มีข้ออ้างใดๆแระ -*-

จริงๆตอนแรก ลูลิเครียดว่าจะได้เล่มพาสปอร์ตคืนไม่ทันเดินทาง
แต่ถ้าใครห่วงเรื่องนี้อยู่ ก็ ย.ห. อย่าห่วงเลยค่ะ
เพราะว่าวีซ่าจะรู้ผลทันทีที่เรายื่น และจะพิมพ์วีซ่าแปะในพาสปอร์ตเราในวันนั้นเลย
วันรุ่งขึ้นจากวันที่เรายื่น วีซ่าจะไปอยู่ที่ ปณ.รองเมือง เรียบร้อยค่ะ
(ยกเว้นกรณีไปทำวันศุกร์ นั่นก็ซวยไป -*-)
จากปณ.รองเมือง ใครรีบก็สามารถไปรับเล่มที่นั่นเลยก็ได้
ถ้าใครไม่รีบ ก็รอวันนึง วันรุ่งขึ้นมันก็จะมาส่งถึงบ้านเลยจ้า ^^
(อันนี้ในเคสกทม.นะคะ ตจว.ก็คงถัดไปอีกวันนึง)

ลูลิไปทำวันอังคาร วันพฤหัสก็ได้เล่มคืนเรียบร้อยจ้า~

กรีดซองออกมา ก็เจอเอกสารปึกนึง พร้อมด้วยพาสปอร์ต 3 เล่ม!!
(คือส่งไปหมด 3 เล่ม ก็เลยได้คืน 3 เล่ม อย่าตกใจไป 5555+)
แต่ประเด็นอยู่ที่ ในพาสปอร์ต มีกระดาษ A4 3 ใบพับยัดๆแล้วแมกซ์ติดเอาไว้ด้วยนี่ล่ะ
อืม… พาสปอร์ตมันบวมได้อีกนะ = =’

ไอ้ใบ A4 ที่ว่านั้น ก็คือ I-20 ของเรานั่นเองล่ะค่ะ
(เจ้าใบ I-20 นี้ มันจะระบุชื่อโรงเรียนของเราไว้ด้วย
นั่นหมายความว่า ถ้าหากว่าย้ายโรงเรียน ก็ต้องทำเรื่องให้โรงเรียนใหม่ออกใบนี้ให้ใหม่ด้วยนะ)

้าหากว่าใบนี้หายไป วีซ่านักเรียนก็จะถือเป็นโมฆะ (ต้องใช้คู่กันเสมอ)
มองเล่มพาสปอร์ตแล้วก็ ถอนหายใจอีกรอบ
ถ้าจะต้องแมกซ์ติดกันแบบนี้ ไมไม่ออก I-20 ให้มันเล็กๆหน่อยแว๊ !!!! -*-

จริงๆอัพเอนทรี่นี้ก็ไม่ได้อะไร แค่เบื่อจัดกระเป๋า
เง้ออออออออ….

แล้วก็เอาหน้าตาวีซ่ามาให้ดูเล่นๆ ^^


อันนี้ของใหม่ที่เพิ่งได้สดๆร้อนๆ


ส่วนอันนี้ของเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

ที่หน้าตามันต่างกัน ไม่รู้ว่าต่างเพราะว่ามันผ่านมา 10 ปีแล้ว
หรือว่าต่างเพราะว่าเป็นวีซ่าท่องเที่ยว กับวีซ่านักเรียนเนอะ
(คาดว่าจะเป็นเพราะเหตุผลแรกมากกว่า ><)

ไม่ปลื้มตรงที่ใส่ชื่อ Kaplan Aspect ลงบนวีซ่านี่ล่ะ ไม่เท่ห์รุย
อยากได้เป็นชื่อ UCLA, Havard ไรงี๊…… (ฝันเฟื่อง 55555+)

.
.

เอาล่ะ!! อีก 3 วันจะเดินทาง
สู้ว๊อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!

End.

 

► เอกสารชิ้นสุดท้าย,, ใบขับขี่สากล August 3, 2010

,, ถ้าถามว่า อยากไปขับรถที่เมืองนอกต้องทำยังไง?!?
ตามกฎหมายแล้ว ถ้าหากว่าจะขับรถที่ต่างประเทศเราจำเป็นต้องมีใบขับขี่ค่ะ
แต่ว่าใช้ไอ้ใบที่เราใช้กันอยู่ไม่ได้นะคะ ต้องออกเป็น “ใบขับขี่สากล” เท่านั้น
ตามกฎหมายของไทย มันมีอายุ 1 ปีเต็ม
แต่.. เวลาไปเมืองนอก มันกลายสภาพเป็นแค่ใบขับขี่ชั่วคราวเท่านั้นเองค่ะ

เคยอ่านในหนังสือ เค้าบอกว่าโดนตำรวจที่แคลิฟอเนียจับ
พอยื่นใบนี่ให้ ตำรวจถึงกับงง “ไม่รู้จัก ขอรับกระผม!!”
เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ (ไม่ใช่แค่ไปเที่ยวไม่กี่วันก็กลับ)
ต้องทำใบขับขี่ของประเทศนั้นๆด้วยนะคะ

ถามว่า.. ถ้าต้องทำใบขับขี่ที่โน่นอยู่แล้ว แล้วลูลิทำทำไม!?
ก็เพราะว่าเจ้าใบขับขี่สากลนี่ สามารถเอาไปใช้ยื่นแทนการเรียนขับรถในแคลิฟอเนียได้ค่ะ
(น่าจะเป็นเฉพาะบางรัฐ เพราะโอกาโฮม่าที่ตาลไป ไม่ต้องเรียนก็สอบใบขับขี่ได้)
505 บาท แลกกับเงินหมื่นในการเรียนขับรถ (ทั้งๆที่ขับมา 8 ปีแล้ว)
ใครล่ะจะปล่อยโอกาสนี้ไป ^^

.

.

.

ลูลิเลือกวันที่ไปทำวีซ่า ถือโอกาสเลยไปทำใบขับขี่ด้วยเลย
เพราะว่าอ่านในเน็ตมา เค้าบอกว่าไปตอนบ่ายคนจะน้อยกว่า
แล้วก็เพราะที่สถานฑูตอเมริกาไม่มีที่จอดรถให้ค่ะ ลูลิก็เลยไม่ได้เอารถไป
ขากลับก็เลยอาศัยรถไฟฟ้านี่ล่ะ มาส่งถึงสถานีหมอชิต

สถานที่ทำใบขับขี่สากล ก็ที่เดียวกันกับทำใบขับขี่ธรรมดาเลยค่ะ
กรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร อาคาร 4 ชั้น 2
ตรงข้ามจตุจักร แล้วก็เดินเข้าในกรมการขนส่งทางบก ตรงมาจนสุดทางเลย (ไกลอยู่ -*-)

ลงจาก BTS ก็ต้องเดินยาวค่ะ
แต่เดินมาถึงโรงเรียนการบิน ก็เหลือบไปเห็นป้ายราคาพี่วิน
อาคาร 1-8 → 10 บาท
สมองอันเหนื่อยล้าก็คำนวนทันควัน
ไอ้ขนม(ไม่อร่อย)ในมือนี่ ราคา 15 บาท
แล้วเราจะทนเดินกินไปจนถึงอาคาร 4 เลยเหรอ (ขับรถผ่านบ่อยๆ เลยรู้ว่ามันไกล)
เอาวะ…. พี่วินดีกว่า!!

แล้วมันก็เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดของลูลิในวันนี้เลยค่ะ
เพราะข้างใน น้ำท่วมมมมมมมมมม!!
ถ้าเดินคงลำบากมากทีเดียวเชียวล่ะ
10 บาทเนี่ย แค่แลกกับรองเท่าไม่เปียกก็คุ้มแล้วววว ><

พี่วินพามาส่งถึงประตูทางขึ้นตึก ^^
ซึ่งด้านในก็จะเขียนบอกทางไว้ชัดเจนเลยว่า “ทำใบขับขี่สากล ชั้น 2”

บันไดอยู่ตรงสุดทางเดินค่ะ ขึ้นไปก็จะเจอ “ห้องเตรียมตัว”
ที่ผนังห้องจะติดบอกเอาไว้ว่า มาขอใบอะไร ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง
สำหรับใบขับขี่สากล ใช้เอกสารน้อยสุดๆ และง่ายดายเป็นที่สุดค่ะ
1.สำเนาพาสปอร์ต
2.สำเนาบัตรประชาชน
3.สำเนาใบขับขี่แบบ 5 ปี หรือตลอดชีพ (พร้อมตัวจริง)
4.รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 ใบ
5.เงิน 505 บาท

กรณีเปลี่ยนชื่อ ต้องมีใบเปลียนชื่อด้วย
กรณีให้บุคคลอื่นมาทำแทน ต้องมีใบมอบอำนาจ และอากรแสตมป์ 10 บาท

ถ้าไม่ได้ถ่ายสำเนามา ที่นี่มีร้านถ่ายเอกสารบริการค่ะ
คิดหน้าละ 1 บาท (ถ่ายบัตรก็ 2 บาทเพราะ 2 หน้า)
ไม่โหดหน้าเลือกเท่าแถวบ้านลูลิ หน้าละ 2 บาท,, เวอร์ได้อีก -*-
แถมป้าแกยังชวนคุยด้วย อัธยาศัยดีใช้ได้เลยล่ะ ^^

.

.

พอเตรียมเอกสารเรียบร้อย ก็เอาเอกสารไปให้เจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์ตรวจซะก่อน
เจ้าหน้าที่จะกดบัตรคิวให้ แล้วบอกเราว่าให้ไปรอที่ไหน
ตอนที่มาทำใบขับขี่ธรรมดา ก็จะอยู่ช่องต้นๆค่ะ
อันนี้กระเด็นไปอยู่ลึกสุดของห้อง คือเคาท์เตอร์ที่ 19-22

ตรงมุมห้องก็มีคนนั่งรอทำใบขับขี่เยอะอยู่
แต่แอบเหลือบไปเห็นโฆษณาว่า
One stop service รับคำขอ ชำระเงิน รอรับภายใน 20 นาที
อะหือ… 20 นาทีเองเหรอ ลองจับเวลาดูซะหน่อย

11:22 ลูลิกดบัตรคิว
11.40 ได้ยื่นเอกสาร
11.45 ได้รับใบขับขี่

เด็ดมากกกกกกกกกกก!!! ใช้เวลาในการออกเอกสารแค่ 5 นาทีเท่านั้นเอง
อูยยย ประทับใจ ><

.

.

ส่วนหน้าตาใบขับขี่สากล ถ้าใครคิดว่าจะออกมาเป็นการ์ดล่ะก็ ผิดถนัดค่ะ
เพราะมันเป็นเล่ม ใหญ่กว่าพาสปอร์ตนิดนึง แล้วก็บางกว่า
ข้างในจะติดรูป แล้วก็มีตราประทับ เท่านั้นก็เสร็จสิ้นกระบวนการ ^^

คิดแล้วก็แอบใจหาย วันนี้ยังขับพวกมาลัยขวา แต่อาทิตย์หน้าก็ต้องเปลี่ยนไปขับพวงมาลัยซ้ายแล้ว
เหลือเวลาอีกแค่ 7 วันเท่านั้นเอง T^T
I’m about to leave…

End.

 

► ทำวีซ่าอเมริกา,, ทุกลักทุเลกายา ทรมานจิตใจ = =’

,, วันนี้ไปทำวีซ่าอเมริกามาเรียบร้อยแล้ว เย่..^^v

.

.

เกริ่นเรื่องได้ชวนให้ไม่น่าอ่านมากชิมิ ><
เรื่องของเรื่องคือวันนี้ไปสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกามาค่ะ
ฟังดูแสนธรรมดา.. แต่แบบว่าแอดเวนเจอร์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน -*-

เกริ่นให้ฟังก่อนว่า ลูลิไปทำวีซ่ามาหลายที่ เดินทางมาหลายประเทศ
แต่ก็ไม่เคยจะต้องทรมานจิตใจ ทรมานกายขนาดนี้มาก่อน = =’
สืบเนื่องจาก การจองวีซ่าที่ได้วันสัมภาษณ์ใกล้กับวันเดินทางมากกกกกกกกก
ชนิดที่ว่าไม่มีโอกาสให้พลาดเลย (ถ้าพลาดก็โบกมือลา เลื่อนการเดินทางได้เลย = =)
ผลที่ตามมาคือ “กดดัน”

.

.

แรกเริ่มเดิมที ลูลิไม่มีคำว่า “วีซ่าไม่ผ่าน” อยู่ในพจนานุกรมด้วยซ้ำ
เพราะว่าอย่างที่บอก เดินทางมาก็เยอะ แถมประเทศที่ขอวีซ่ายากๆ อังกฤษเอย ญี่ปุ่นเอย ก็ขอได้มาแล้วทั้งนั้น
แล้วก็ยังได้วีซ่าท่องเที่ยวของอเมริกามาอีก 10 ปีด้วย
แค่ขอไปเรียน มันจะไม่ให้ได้ยังไง ชิมิ = =
ลูลิก็มั่นอกมั่นใจแบบนั้นล่ะ…

แต่.. จนกระทั่งจิตตก โดนกดดันจากการจองวันสัมภาษณ์ได้กระชั้นเหลือเกิน
ก็เลยเข้าไปเก็บข้อมูลในพันทิพย์…
แล้วก็นั่นล่ะ จุดเริ่มต้นของปัญหา T^T

ไม่ได้โทษพันทิพย์ ไม่ได้โทษคนโพส
แต่คงต้องยอมรับว่า มันสร้างความกดดันมหาศาลให้ลูลิจริงๆ
แรกเริ่มจาก ได้ชัวร์ 120% (เกินร้อยด้วย 555+)
หลังจากอ่านกระทู้แรก เหลือ 98% อ่านอีก 80% อ่านอีก 75%
ง่ำ…. ลดลงเรื่องๆทุกกระทู้ที่อ่าน

เพราะอะไรรู้มั๊ยคะ เพราะว่าทั้งหมดทั้งมวล เค้าเล่าเกี่ยวกับการขอวีซ่าไม่ผ่านทั้งนั้นน่ะสิ -*-
พอยิ่งมีข้อมูลมาก ก็ยิ่งคิดมาก.. แล้วมันก็เลยเถิดเป็นจิตตก
“ถ้าหากเราไม่ผ่านล่ะ” เริ่มคืบคลานเข้ามาในหัว
ทำให้รู้สึกร้อนรน เตรียมเอกสารชนิดที่ว่าขนหลักฐานไปหมดทั้งชีวิต..อะไรแบบนั้นเลยล่ะ
(จริงๆเตรียมให้พร้อมมันก็เป็นเรื่องดีนะ 555+)
-ใบรับรองการทำงาน
-ใบรับรองการศึกษา
-ใบรับรองการทำงานของสปอนเซอร์
-เอกสารทางการเงินของสปอนเซอร์
-จดหมายรับรองการเป็นสปอนเซอร์
-เอกสารจดทะเบียนของบริษัท
-เอกสารการจ่ายเงินต่างๆ
-เอกสารจากมหาวิทยาลัยที่จะไปเรียน
-สมุดบัญชีพ่อ
-สมุดบัญชีตัวเอง
เตรียมมันหมด!! ชนิดที่ว่า “ถามไรมา ต้องตอบได้หมดชัวร์ๆ”

.

.

แต่.. ประเด็นของความทุลักทุเลในวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่เอกสารหรอกค่ะ
ถึงขอเอกสารมันจะวุ่น แต่เพราะว่ามีเวลาเหลือเฟือ ก็เลยชิว~

ประเด็นความวุ่นวาย มันอยู่ที่วันนี้ล่ะ
วันที่เดินทางไปสัมภาษณ์วีซ่า ณ สถานฑูตอเมริกา!!

สถานฑูตอเมริกา ตั้งอยู่เลขที่ 95 ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ 10330
ตรงข้ามกันเด๊ะๆกับอาคารสินทร (มาจากทางสาทรต้องไปกลับรถ)
ไม่มีที่จอดรถนะคะ แทกซี่โลด!!

.

.

เริ่มแรก… ลูลิจำเวลานัดผิด!!! (โง่ตั้งแต่ต้นเรื่อง T^T)
จำว่า 8 โมงครึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วมันคือ 8 โมง 15
และหนำซ้ำ เค้าสั่งให้ไปก่อนครึ่งชั่วโมง!!!!! (แปลว่า 7 โมง 45 ต้องนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ที่นั่งรอแล้ว)
มองนาฬิกาที่ข้อมือ.. 7 โมง 15 เดี๊ยนยังอยู่บนทางด่วน ที่ติดแหงกก่อนด่านงามวงศ์วาน
ชิ หาย แระ!! (คิดในใจ)

เห็นท่าไม่ดีละ ติดยาวไม่กระดิกแบบนี้ เลยต้องลงจากทางด่วนเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง
แต่ลงมาก็บรรลัยพอกัน = =’ แหงก!!
เพราะฝนตกปรอยๆรึเปล่า ทำให้รถติด? (จริงๆตกหรือไม่ตกก็ติดมั๊ง)
มองนาฬิกาอีกที 7 โมงครึ่ง ยังไม่ถึงเดอะมอลล์งามวงศ์วาน
ชิ หาย แน่แท้ละทีนี้!!! (คิดเสียงดังลั่น)

โชคดีนิดหน่อยที่วันนี้พ่ออาสาไปส่ง ก็เลยสั่งให้คนรถจอด
แล้วตัดสินใจโบกพี่วิน(มอไซต์) ไป!!
แต่ลงจากรถก็ใช่ว่าจะรอด… พี่วินคะ พี่วินหาย(หัว)ไปไหนกันหมดล่ะคะ!!!
ด้วยความที่ไม่เคยนั่งมอไซต์เลย ก็เลยไม่เข้าใจวัฒนธรรมการโบกมอไซต์ = =’
ก็เข้าใจว่าโบกได้เหมือนแทกซี่… แต่ไมไม่มีใครจอดเลยวะ
ชีวิตรันทดของลูลิ T^T

พอดีเห็นมีแถวตั้งอยู่ 3-4 คน เลยเดินเข้าไปถาม
“พี่คะ รอมอไซต์ตรงนี้เหรอคะ” (ทำหน้าบ้องแบ๊วประกอบ)
ผู้หญิงที่ยืนรออยู่ก่อนก็บอกใช่
“พี่คะ ทำไมรถมันมาส่งคนแล้วไม่จอด” (บ้องแบ๊วไม่เลิก)
ผู้หญิงคนเดิมก็ตอบมาสั้นๆว่า “ไม่ใช่วินเค้า”
ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ก็พอเกทว่า “โบกตรงนี้ไม่ได้”

ระหว่างที่ยืนรอ ลูลิคงทำท่าร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด (ก็ถึงเวลานัดแล้ว ยังอยู่งามวงศ์วาน ตายแน่!!)
พอมีรถมา ผู้หญิงคนนั้นเลยหันมาบอกว่า “รีบเหรอคะ ไปก่อนก็ได้ค่ะ”
โอ้วววว ประเสริฐค่ะ!! ขอบคุณนะคะ *ยิ้มหวานน้ำตานองหน้า*

“ไปสถานฑูตเมกาไปเท่าไหร่คะพี่”
พี่วินทำท่าอึกอัก
“หนูให้สองร้อยเลย ไปเหอะ”
พี่วินยังอึกอัก
“เอานะ” แล้วโดดขึ้นรถแบบไม่รอคำตอบ!!!,, คนมองทั้งวิน -*-

พี่วินเห็นลูลิมัดมือชก เลยตอบตกลง (แบบไม่ได้สรุปค่าโดยสาร)
แล้วก็บอกให้ลูลิลงจากรถ เพราะพี่วินต้องถอดเสื้อวินก่อน
พร้อมกันยื่นหมวกกันน๊อคมาให้ใส่
แต่… ป๊าดดดด มันใส่ไงวะ = =’
คนที่ยืนที่วิน เห็นท่าทางสุดทุลักทุเล ก็ยึกๆยักๆอยากเข้ามาช่วยอยู่หลายคน (สมเพชในความโง่ T^T)
แต่ก่อนที่จะมีคนยื่นมือมาช่วย “แกร๊ก” สายคาดมันก็ลงล๊อคพอดี
(ไม่รู้ว่าจะใส่ทำไมเหมือนกันนะ เพราะมันร่นไปข้างหลัง ละสายก็รั้งคอเจ็บไปหมด -*-)

“พี่คะ ให้ทัน 8 โมง 15 นะคะ”
พี่วินมองนาฬิกาข้อมือ “โหย จะทันเหรอ”
“เอาเหอะค่ะ ต้องทันค่ะ!!!!”
ว่าแล้วพี่วินก็พาลูลิ บรื๊นนนนนนนน ออกไปอย่างด่วน

.

.

รถเลี้ยวเลาะ เซาะข้างรถชาวบ้าน จนเสียวเข่าไปขูดสุดๆ
แต่ดูก็รู้ว่าพี่วินเองก็รีบให้อย่างเต็มที่แล้ว
จนมาถึงรัชดา… ฟ้าฝนก็อวยพร ตกลงมาอี๊กกกกกกกกกกก!!
ชิ หาย…… (สบถอยู่ในใจ)
อิชั้นไม่เคยนั่งมอไซด์ออกถนนใหญ่ ก็ไม่ชินอยู่แล้ว
นี่ยังต้องคอยหลบฝนเข้าตาอี๊กกกกก… ป้าดดดดดดดดดด มอไซต์ไม่คว่ำก็ต้องขอบคุณพระเจ้าแล้วเนี๊ยะ!!

ยังถือว่าฟ้าฝนยังเห็นใจ ตกมาเปาะแปะพอให้ชื้นๆ = =’
จนในที่สุด ก็มาถึงหน้าสถานฑูตจนได้ 8 โมง เกือบจะ 45
(นั่งอยู่บนมอไซต์เกือบชั่วโมง บร๊ะเจ้า!!)

“พี่คิดเท่าไหร่อ่ะ”
พี่วินทำท่าครุ่นคิด (ไม่ต้องคิดนาน หนูรีบ = =’) “เอา 300 ละกัน”
“หนูมีแบงค์พันมีทอนป่ะ”
พี่วินส่ายหน้า
“งั้นหนูมีแบงค์ย่อยหมดตัวแค่เนี๊ยะ” ควักหมดกระเป๋ายื่นให้ (230 บาท)
พี่วินก็หัวเราะแล้วก็รับไปแบบไม่ว่าอะไร
“ขอบคุณนะคะพี่” ยกมือไหว้แถมด้วย…แล้วก็รีบวิ่งไปหน้าทางเข้าสถานฑูตทันที
เรื่องราวของลูลิและพี่วินก็จบลง ณ ประการฉะนี้ ^^ *ปาดเหงื่อ*

.

.

.

.

หลังจากที่ทรมานกายมาตลอด 1 ชั่วโมงแล้วนั้น
ก็เป็นเรื่องราวความตื่นเต้น และกดดันล้วนๆค่ะ
กดดันแรกเลย คือ… าสายไป ครึ่งชั่วโมงเต็มๆ เค้าจะให้เข้ามั๊ย ถ้าโดนปฎิเสธล่ะจะทำยังไง
แต่เอาวะ ไม่ลองไม่รู้

ว่าแล้วก็พุ่งเข้าไปที่ห้องกระจกด้านหน้า
เปิดฉากถามเจ้าหน้าที่แบบโง่สุดขีด “หนูมาสายไปครึ่งชั่วโมงเข้าได้มั๊ยคะ”
(บ๊ะ… ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามแบบนี้ -*-)
เจ้าหน้าที่ข้างในทำหน้างง “มาขอวีซ่าใช่มั๊ย ไปรอที่ประตูตรงนั้น”
ลูลิก็เดินไปจุดที่บอก ซักพักก็มีคนมาเปิดประตูให้

ข้างในเป็นห้องแอร์ชื้นๆ หน้าตาเหมือนที่ฝากของ (ซึ่งก็เป็นที่ฝากของนั่นล่ะ)
เคาท์เตอร์ซ้ายมือจะมีเจ้าหน้าที่เด็กสาวชาวไทย สวมเสื้อโปโลสีม่วง ยืนรอเชครายชื่ออยู่
เจ้าหน้าที่ตรงนี้ไม่ได้ตรวจเอกสารอะไรให้นะคะ (ตอนแรกเข้าใจว่าตรวจตรงนี้)
แค่ตรวจชื่อว่าเราได้นัดไว้รึเปล่า กับจ่ายตังรึยังแค่นั้น
ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรเลยยยยยยยยยยย แม้จะมาสายเป็นครึ่งชั่วโมง!!!
(ขอบคุณมากๆนะคะ นึกว่าจะตายซะแล้ว T^T)

*สำหรับคนที่มาสาย ถ้าผ่านด่านสาวเสื้อม่วงมาได้ก็ไม่ต้องรีบแล้วค่ะ
ลูลิรีบแทบตาย ร้อนรน เพราะคิดว่าข้างในเค้าจะเชคเวลาอะไรรึเปล่า
ปรากฎว่าไม่เลย…. ^^

จากนั้นก็เดินไต่ตามเคาท์เตอร์ไปจะเป็นที่ฝากของ
อุปกรณ์อิเลคทรอนิกทุกชนิด มือถือ เอ็มพีสาม กล้องถ่ายรูป เครื่องอัดเสียง เอาออกหมด
กุญแจรถที่มีรีโมท Thumb drive ก็ยังไม่เว้น
เอาบัตรประชาชนแนบไปกับของที่จะฝาก แล้วก็รับหมายเลขรับฝากมา

แล้วก็เดินเลยไปที่เครื่องสแกน (เหมือนในสนามบิน)
ก็จะแสกนกระเป๋า ส่วนตัวก็เดินผ่านไป
เจ้าหน้าที่จะชี้ทางไปต่อให้ (ซึ่งจริงๆก็มีทางอยู่ทางเดียว กรงล้อมตลอดจะหลงไปไหนได้ -*-)

.

.

ด่านต่อไปก็จะเป็นสาวชุดโปโลสีม่วงอีกเช่นกัน
ตรงนี้เจ้าหน้าที่จะช่วยตรวจสอบเอกสารให้
ลูลิเรียงเอกสารไว้ แล้วก็ยื่นให้พี่เจ้าหน้าที่ไปทั้งกอง (ทั้งหมดเป็นตัวจริง)
-Passport
-DS-160
-I-20
-ใบเสร็จ SEVIS
-ใบเสร็จค่าวีซ่า

พี่เจ้าหน้าที่หน้าหวาน ก็ถามหาเอกสารเพิ่มนิดหน่อย คือ
-Transcript (แต่สุดท้ายเอาใบจบไปแทน,, ทำไมล่ะ ?)
-ใบรับรองการทำงาน

แล้วพี่เจ้าหน้าที่ก็รวมเอกสาร(ที่คัดแล้ว)ทั้งหมด ใส่แฟ้มใสสีเหลือง
ที่มีใบปะหน้าใบเล็กๆสีฟ้า เขียนว่า “ยื่นเอกสารที่ช่อง 12,13”
“เดินเข้าไปที่ประตูไม้ แล้วก็ยื่นเอกสารที่ช่อง 12,13 ได้เลยค่ะ” ยิ้มหวานส่งท้ายอีกตะหาก
ตอนนี้รู้สึกใจชื้นขึ้นนิดหน่อย เพราะรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ใจดี >< แล้วก็สุภาพมากด้วย

.

.

ด้านหลังประตูไม้… *แอ๊ดดดดดดด*
โผล่หน้าเข้าไปสำรวจภายใน.. ก็เห็นเคาท์เตอร์ยาวๆ เป็นตู้ๆ (เหมือนสถานฑูตทั่วไป)
แต่ที่นี่เก่าพอสมควร อาจจะเพราะฝนตกด้วย เลยรู้สึกชื้นๆแปลกๆ
ลูลิตรงดิ่งเข้าไปที่เคาท์เตอร์หมายเลข 13 (แบบว่าเอาฤกษ์เอาชัยนิดนึง 5555+)
ตรงนี้คล้ายๆเป็นที่ตรวจเอกสารเบื้องต้น เจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงชาวไทย ไม่ดุ แต่ไม่ได้ใจดี ^^”

สิ่งที่ต้องทำในช่องนี้คือยื่นเอกสารเข้าไปทั้งแฟ้ม (ที่สาวชุดม่วงจัดให้มะกี๊)
พี่พนักงานก็จะสแกนบาร์โค้ด ปี๊ดๆๆ แล้วก็ให้เราแสกนนิ้วมือ
4 นิ้วข้างซ้าย 4 นิ้วข้างขวา แล้วก็ นิ้วโป้ง 2 ข้างพร้อมกัน
พร้อมกับให้อ่านกฎหมายอเมริกา ว่าด้วยการยืนยันตัวตนและยอมรับผิดหากปลอมแปลง เป็นการขู่ไว้ด้วย
เสร็จแล้วก็เอาบัตรคิวมาติด แล้วส่งแฟ้มคืน พร้อมบอกว่า “รอเรียกคิวค่ะ”

.

.

ลูลิรับแฟ้มคืนมาแบบงงๆ แล้วก็เดินเอ๋อไปหาที่นั่ง
มองบอร์ดหมายเลขคิวแล้วก้มมองเลขคิวตัวเองในมือ แล้วก็ต้องถอนหายใจยาว เฮ่อออออ
บนบอร์ดขึ้น 530 ใบในมือคือ 932!!!
(ตอนนั้นไม่ทันได้คิดว่า คนในห้องมันมีไม่เกินร้อยคนแน่ๆ เลขคิวมันคงกระโดด)

ลูลินั่งรอนิ่งๆอยู่ที่เก้าอี้ ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์เป็นระยะๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
แต่ก็ไม่ได้สนใจจับใจความมากนัก เพราะเมื่อคืนนอนน้อย(มาก)
ประกอบกับรู้สึกเวียนหัวชวนอ้วกเพราะมอไซต์เมื่อกี๊ด้วย
เลยนั่ง หลับ!!

แต่หลับยังไม่ทันสนิท เสียงประกาศก็ปลุกให้สะดุ้งตื่นจากภวังค์
“บัตรคิวหมายเลข 931-940 เชิญช่อง 11 เรียงตามเลขคิวค่ะ”
อ้าวเฮ๊ย เราแล้วนี่หว่า!!
รีบกุลีกุจอไปยืนรอหน้าตู้
ไม่อยากบอกว่า ใจแอบเต้นนี๊ดๆ >//////<

เจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงยังสาว ผมบลอนด์ตาฟ้า
สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ เลยเดาไม่ถูกว่าใจดีหรือใจร้ายกันแน่ ^^
(ตอนยืนรอแอบได้ยินคุณป้าช่อง 8 ในตำนานสัมภาษณ์อยู่ด้วยล่ะ ดุเชียว)
คงเพราะมัวแต่แอบฟังคุณป้าช่อง 8 แบบตั้งใจไปหน่อย กว่าจะรุ้สึกตัวอีกทีคนข้างหน้าก็ได้วีซ่าไปแระ
อ่าว… ลืมฟังเลยว่าสัมภาษณ์ว่าอะไรบ้าง =3=

.

.

คนข้างหน้าออกไปแล้ว ก็ถึงตาเราสินะ ^^”
ก้าวเดินไปอย่างมั่นใจ สอดแฟ้มเข้าช่อง แล้วก็ทักทาย “Hi~” (กระแดะอีกนะ 5555)
คุณเจ้าหน้าที่ เอาเอกสารมากางแผ่ไว้ที่โต๊ะ พร้อมเคาะคีบอร์ดโป๊กๆๆๆๆ
ไอ้เราก็ได้แต่มองนิ่งๆ กลืนน้ำลายเอื๊อก รอคำถาม..
รอจนคุณพี่เคาะเสร็จ ก็หันมาบอกให้ลูลิเอานิ้วกลางซ้ายวางลงบนเครื่องสแกนนิ้ว
แล้วถึงจะเริ่มคุย…

เจ้าหน้าที่คุยด้วยแบบไม่มองหน้าเท่าไหร่ (ลดความตื่นเต้นไปได้เยอะ เพราะเป็นโรคกลัวฝรั่งจ้อง -*-)
จำคำถามไม่ค่อยได้นะคะ เพราะง่วงและเวียนหัวหนักๆ = =’
ถามเป็นภาษาอังกฤษ และตอบเป็นภาษาอังกฤษ (แต่ขออนุญาตแปลไทยเพราะจำคำที่ใช้ไม่ได้)

* ถ้าพอพูดอังกิดได้ ถามเป็นอังกิดเวิร์คกว่าค่ะ เพราะตู้ข้างๆพูดภาษาไทย…
คูณจาไปทามอาร่ายที่อเมริกา
คูณจาอยู่ที่น่านนานแค่หน้าย
ทามมายคนนี้ต้องออกเงินให้ด่วย…. ฟังยากมาก 555+)

คำถามคร่าวๆก็ประมาณนี้

• จะไปทำอะไรที่อเมริกา
ไปเรียน

• เรียนที่ไหน
ก็ตอบชื่อโรงเรียน กับมหาลัยไป

• จะไปเรียนอะไร
เรียนภาษา แล้วก็ MBA

• เรียนภาษานานเท่าไหร่
ประมาณ 6 เดือนมั๊งคะ

• แล้วหลังจากนั้นล่ะ
ก็จะเข้ามหาลัยค่ะ

• ใครออกค่าใช้จ่ายให้
พ่อ

• พ่อทำงานอะไร
รับราชการ

• ที่ไปอเมริกาครั้งที่แล้ว ไปทำอะไร
ไปเที่ยว

• ตอนนี้ลาออกจากงานแล้วใช่มั๊ย
ใช่ เมื่อเดือนที่แล้วนี่ล่ะ

• ในนี้เขียนว่าทำงานในอุตสาหกรรมยา ทำตำแหน่งอะไร
Product designer

• จบ Landscape Architecture มา แต่ทำงานในอุตสาหกรรมยา แล้วจะเรียนต่อ MBA ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ (ประมาณว่าทำไมมันคนละทิศละทางมากๆแบบนี้)
ก็.. มีธุรกิจครอบครัว ก็เลยจะเรียน MBA

• ธุรกิจครอบครัวทำอะไร
ก็ไอ้อุตสาหกรรมยาที่ทำมานี่แหละ

• งั้นทำไมถึงเลือกเรียน Landscape Architecture ตั้งแต่แรกล่ะ
ก็.. ชอบแพลนนิ่ง ชอบวางแผน.. (เงียบไป เพราะไม่รู้จะตอบอะไร)

.

.

คุณเจ้าหน้าที่เหลือบตาขึ้นมามองแว่บนึง
แล้วก็ก้มหน้าปั๊มๆขีดๆลงไปในเอกสาร
“OK เราจะออกวีซ่าให้ ไปจ่ายเงินที่ตู้ทำการไปรษณีย์ด้านนอกนะคะ เราจะส่งพาสปอร์ตคืนให้ใน 3 วันทำการ”
แล้วก็ยื่นใบสีฟ้า ที่เป็นแบบฟอร์มขอส่งเล่มทางไปรษณีย์ (กรอกตอนสาวชุดม่วงตรวจเอกสาร) คืนมาให้

อ่าว…… เสร็จละเหรอ ยังไม่รู้ตัว..
(ง่วงอยู่ เลยมึนๆ -*-)

สรุปว่าเอกสารรับรอง เอกสารทางการเงิน ไม่ดูเลยซักอย่าง
สงสัยโพรไฟล์ดีจัด 555555555 *หัวเราะปากกว้าง*

.

.

เดินหน้ามึนออกมาจ่ายเงินที่ขวามือของประตูไม้อันเดิม (ลืมอยู่แอบฟังของคนอื่นเลย = =’)
75 บาทถ้วน จ่ายแบงค์พันได้ค่ะ มีทอน ^^
ยื่นใบฟ้าไป จ่ายเงินแล้วก็จะได้รับซองสีเหลืองอันโตๆมา 1 ซอง
ให้จ่าหน้าชื่อเป็นภาษาอังกฤษ และที่อยู่เป็นภาษาไทย
แล้วก็เอาไปคืนเจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่
แล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี…

เดินออกทางเดิม รับของที่ฝากไว้ แล้วก็ออกมาด้านหน้า
โบกแทกซี่กลับบ้าน…. ^^

.

.

เอนทรี่นี้ไม่มีรูปประกอบเลยเนอะ = =’
ก็โดนยึดกล้อง ยึดมือถือ เลยไม่รู้จะเอาอะไรไปถ่ายนี่นา
เอาเป็นว่า อ่านแล้วจินตนาการตามไปเองละกันนะคะ ^^

ขอให้ทุกคนโชคดี ขอวีซ่าผ่านกันหมดจ้า ♥

End.

 

► Fushigi Yugi (พลิกตำนานมาพบรัก) กำลังจะถูกนำมาทำเป็นละครเวที August 2, 2010

Filed under: •• ไอ้.นู่น.ไอ้.นี่ — lady2go @ 3:32 pm
Tags: ,

,, มังงะเรื่องยาวชื่อดังที่ครองใจนักอ่านมากมาย ผลงานของ วาตาเซะ ยู (Watase Yu) อย่าง “Fushigi Yugi” หรือที่รู้จักกันในชื่อไทยว่า “พลิกตำนานมาพบรัก” กำลังจะถูกดัดแปลงทำเป็นละครเวทีในเร็วๆนี้

ข่าวนี้ได้ประกาศออกมาเมื่อวันพุธที่ผ่านมาผ่านทาง the Shogakukan magazine Flowers นิตยสารรายเดือนซึ่งกำลังตีพิมพ์ภาคต่อของซีรีย์ชุดนี้อยู่ ในชื่อ “Fushigi Yugi Genbu Kaiden” หรือพลิกตำนานมาพบรัก ภาคเกมบุ (เต่าดำ)

การดัดแปลงเป็นละครเวทีครั้งนี้นั้น เป็นผลงานของ promotion company Amipro และได้ผู้กำกับมือดีอย่าง ซูกาโนะ ชินทาโร่ (Sugano Shintaro) มาเป็นผู้กำกับให้ ซึ่งจนถึงตอนนี้นั้นมีเพียง มิยาจิ มาโอะ (Miyaji Mao) เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ได้รับการประกาศว่าจะเข้าร่วมแสดง ซึ่งรายละเอียดต่างๆจะค่อยๆทยอยประกาศในเวปไซต์ของ Shogakukan ในเร็วๆนี้

การแสดงทั้งหมดวางแผนไว้ว่าจะมีทั้งหมด 9 รอบ ในระยะเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 20-24 ตุลาคมนี้ ที่ The Pocket theater เขตนากาโนะ , โตเกียว

——————————————————-

Source :: Tokyograph
Report :: Luli~
lady2go.wordpress.com~
ถ้าจะนำออกไปกรุณาให้เครดิทบลอคด้วยค่ะ

——————————————————-

ดิชั้นกรี๊ดเหอะค่ะ!!
ตอนแรกเห็นรูปแว๊บๆ ก็กรี๊ดก่อน แล้วรีบคลิกมาอ่านอย่างรวดเร็ว!!
อ่านหนแรก กรี๊ดสนั่นตอนที่รู้ว่าจะเอามาทำเป็นละครเวที
แต่คิดไปคิดมา ขอกรี๊ดอีกหน… ไม่เอาได้มั๊ย T^T

จริงๆรักมังงะเรื่องนี้มาก เพราะว่ามันเป็นตัวละครในอุดมคติอ่ะ
แต่ถ้าเอาคนจริงมาเล่น แล้วหน้าตาไม่ได้ล่ะ -*-
(เจอชวนเครียดมาหลายเรื่องแล้วนะ)
กรี๊ดดดดดดดดดด ชักดิ้นชักงอ!!

ยิ่งไปกว่านั้น!!!!
พอดีว่าว่างก็เลยไปเซิชชื่อนางเอกดู
สาบานเหอะว่าคนนี้จะเล่นเป็น มิอากะ!!
ผู้หญิงติงต๊อง ปัญญาอ่อน แต่มุ่งมั่น
มันใช่ผู้หญิงคนนี้เหรอ -*-

ทำแบบนี้แฟนการ์ตูนเสียใจนะคะ ฮือออออออ
*กุมหัว ปาดน้ำตา*

ม๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย T^T

ปล.รอดูโฮโตโฮริ หน้าเอาอิหน้าจืดที่ไหนไม่รู้มาเล่น จะโกดจริงๆด้วย กระซิกๆๆๆๆๆ

 

[Trans] MC talk: Hey! Say! JUMP in KAT-TUN concert (2010.07.25) August 1, 2010

,, ตอนแรกเปิดคอมเข้ามา ว่าจะแปล Wai wai Hey! Say! JUMP 3
แต่ดันมาเจออันนี้ซะก่อน….
จริงๆก็เข้าไปอ่านเฉยๆ แต่ว่าพอดีว่าเห็นว่าโตเมะมีบทบาทเยอะ ก็เลย…… >////<


โตเมะน่ารักเนอะ ตอนเด็กๆน่ารักมากกกกก โตมาก็ยังน่ารัก (ถ้าจะไปตัดผมซักที)
แปลเล่นๆ เพราะเห็นว่าตลกดี ,, แต่บางประโยคก็แปลไม่ออกเหมือนกัน -*-
แต่มันเป็นส่วนที่ไม่สำคัญ เลยแปลตามสถานการณ์ไปเรียบร้อย 555+
(จำไม่ได้ด้วยว่าประโยคไหน ให้ไปเดาเอาเอง คิคิ ♥)

.
.
.

MC talk ใน KAT-TUN Concert (2010.07.25)

คาเมะ: พวกเค้ามีอะไรที่แตกต่างจากพวกเราครับ คนพวกนี้เกิดในยุคเฮย์เซย์ โย่!!

จุนโนะ: น่า น่า คนที่มาดูวันนี้ก็น่าจะมีคนเกิดในยุคเฮย์เซย์เหมือนกันล่ะน่า (หัวเราะ)

คาเมะ: ยาบุ!!

ยาบุ: ครับ!! (เสียงดังมาก)

คาเมะ: นายสูงขึ้นมากเลย~ อัตราส่วนหัวกับตัวเป็นเท่าไหร่น่ะ

โคกิ: ซัก 8 เท่าได้มะ

คาเมะ: ถ้าหากว่าเกิดในยุคเฮย์เซย์ ร่างกายจะถูกสร้างต่างออกไปสินะ โคกิ(พอยืนข้างๆยาบุ)ตัวเล็กไปเลยนะ!! (หัวเราะ)

โคกิ: (สังเกตุเห็นความแตกต่างของส่วนสูงจากจอ แล้วก็ยิ้มเขินๆ)

คาเมะ: ยาบุ เคยตัวเล็กมากเลยเหมือนกันนะ ร้องเพลง “Sekai ga hitotsu ni naru made”~~~ นั่นน่ะ

ยาบุ: คิดถึงสมัยนั้นเนอะ (หัวเราะ)

คาเมะ: ยาบุน่ะ เมื่อก่อนนี้น่ะนะ.. มีครั้งนึงชั้นนั่งอยู่บนโซฟาในห้องแต่งตัว ยาบุก็วิ่งมานั่งแหมะลงบนตักชั้นแล้วก็พูดว่า “จมูกกกกก~” หรืออะไรซักอย่าง แล้วก็มาบีบจมูกชั้น!! เอ่อ.. ตั้งแต่ตอนนั้น ยาบุโตขึ้นเยอะเลยจริงๆ

ยาบุ: (หัวเราะ)

จุนโนะ: หน้าของยาบุนี่เล็กมากเลยนะ

คาเมะ: (จ้องกางเกงขาดๆของยาบุอย่างเป็นจริงเป็นจัง) นายไม่คิดจะซื้อกางเกงใหม่เหรอ

ยาบุ: โอ้ นี่น่ะเหรอ.. ทุกคนบอกให้ผมใส่แบบนี้นะ

คาเมะ: ชั้นเคยใส่กางเกงขาดๆแบบนี้อยู่ครั้งนึง แล้วก็โดนจอนนี่ส์ซังบอกว่า “นาย… นี่มัน… ชั้นจะซื้อกางเกงใหม่ให้” อะไรแบบนั้นเลยล่ะ

ยาบุ: เวลาที่ผมใส่กางเกงแบบนี้แล้วขึ้นรถไฟนะ เด็กๆจะชอบพูดว่า “กางเกงนายนั่นขาดจนเวอร์!!”

.
.
.


.
.
.

คาเมะ: ใครเป็นหัวหน้าวงเนี่ย

JUMP: ยาบุคุงครับ

ยาบุ: คร๊าบ~ ผมเอง

คาเมะ: ยาบุเป็นหัวหน้าวงงั้นเหรอ

ยาบุ: ผมขอยังไม่เป็นได้มั๊ยล่ะ (เพราะว่า JUMP ทุกคนตะโกนชื่อเค้าเป็นเสียงเดียวกัน ยาบุก็เลยปฎิเสธไม่ได้)

.
.
.


.
.
.

ยาบุ: นี่เป็นอัลบัมแรกเลยครับ

คาเมะ: ซิงเกิลเมื่อตอนนั้นรวมอยู่ด้วยรึเปล่า

JUMP: ครับ รวมอยู่ด้วย

ทากากิ: อืมม เอ่อออ~ “Shadow” ด้วย!

คาเมะ: Shadow!

JUMP: รวมครับ!

คาเมะ: Shadow… ใช่จากเรื่องนั่นใช่มะ…Hidarime Tantei EYES?!

ยามะจัง: จริงๆแล้วมันต้องเป็น Hidarime Tantei EYE น่ะครับ (หัวเราะ)

ทากากิ: EYES…งั้นก็ต้องมีทั้ง 2 ตาเลยสินะ (ในเรื่องมันมีแค่ตาเดียว)

.
.
.


.
.
.

คาเมะ: ฮิคารุ ทำไมนายไม่พูดอะไรเลยล่ะ

ฮิคารุ: เห? ผมพูดได้เหรอครับ

คาเมะ: งั้นก็อยู่เงียบๆไปเถอะ = =+

ฮิคารุ: เหหหห~~~ น่าา ผมอยากพูดน๊า

คาเมะ: ไม่ต้องเลย =v=

ฮิคารุ: ผมอยากคุยด้วยนี่นา~~~

โคกิ: ในคอนเสิร์ตของ Hey! Say! JUMP ฮิคารุทำหน้าที่เรื่องพูดได้น่าประทับใจมากเลยนะ แต่ว่านี่มันไม่ใช่คอนเสิร์ตของนาย เพราะงั้นก็เลยไม่พูดเยอะใช่มั๊ย

ฮิคารุ: อ๋า~ นั่นล่ะครับ เพราะว่าตรงนี้มี KAT-TUN อยู่ ผมก็เลยอยากทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่หน่อยน่ะ

คาเมะ: เอ่อ… เรารู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็กๆกันเลยเนอะ ชั้นก็เลยรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย ที่นายโตขึ้นมาได้ขนาดนี้

คาเมะ: ตอนที่ยังเป็น Jr. ฮิคารุน่ะ น่ารักมากๆเลยนะ ((ตอนนี้ก็ยังน่ารักเถอะ = =))

นากามารุ: น่ารักมากจริงๆ~

คาเมะ: ใช่ๆ น่ารักสุดๆเลยล่ะ ตัวเล็กๆ แก้มยุ้ยๆ แล้วก็มีฟันกระต่ายซี่โตๆน่ะ มาจากเซนได แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่าง

ฮิคารุ: โอ้~ ตอนนั้นผมนี่น่ารักจริงๆด้วยเนอะ~

โคกิ: นี่ชมตัวเองก็ได้ด้วย! XD;

คาเมะ: แล้วก็ชอบเรียก “คาเมนาชิคุงงง คาเมนาชิคุงงง” ตอนที่วิ่งมานั่งตักชั้น ใช่มั๊ยล่ะ

ฮิคารุ: นี่จำได้ด้วยเหรอครับเนี่ย ^^?

คาเมะ: ได้สิ ตอนที่ฮิคารุมานั่งตักชั้นน่ะ ชั้นก็เลยเอานิ้วเขกหัวไปทีนึง แต่พอดีว่าสวมแหวนเอาไว้ ดูเหมือนว่าฮิคารุจะเจ็บมาก เลยร้องไห้เลย แล้วก็บอกว่า “คาเมนาชิคุง ผมเจ็บนะ อย่าทำแบบนี้สิ T__T” แต่เพราะว่าหน้าตอนนั้นน่ะมันน่ารักมากกกกกก ชั้นก็เลยทำอีก =v=+

ฮิคารุ: ตอนนั้นน่ะผมเจ็บจริงๆนะ โดนเขกหัวด้วยแหวนเนี่ย T__T ผมร้องไห้จริงๆนะ

นากามารุ: อ้อออ! ชั้นจำได้แล้ว! แล้วหลังจากนั้นชั้นก็ถามฮิคารุว่า “ร้องไห้ทำไม” ตอนนั้น KAT-TUN ก็อยู่กันครบ “ใครทำให้นายร้องไห้เนี่ย” ฮิคารุไม่ได้บอกว่าคาเมะทำ แต่ว่าชี้มาที่ชั้น แล้วก็บอกว่าชั้นเป็นคนทำ!! สุดท้ายมันก็เลยกลายเป็นความผิดของชั้น!! TAT

คาเมะ: ตอนนั้นน่ะ ฮิคารุดูคล้ายนากามารุมากเลยนะ

ฮิคารุ: ใช่แล้ว~ มีคนพูดบ่อยเลยล่ะครับ

นากามารุ: หน้าน่ะเหรอ?

ฮิคารุ: ช่าย

นากามารุ: ที่เหมือนที่สุดน่ะ ชั้นว่า..จมูก~

โคกิ: กลับเข้ามาเรื่องเดิมอีกแล้ว~ = =+

ฮิคารุ: ตอนที่ผมยังเป็น Jr. น่ะ มีคนบอกอยู่บ่อยๆ จนทำให้ผมคิดไปว่า “อา~ นี่ผมคล้ายนากามารุคุงเหรอเนี่ย”

คาเมะ: แต่ตอนนี้ไม่เหมือนแล้วนะ การเติบโตนี่มันเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์จริงๆเลย พอฮิคารุโตขึ้นมาจมูกก็ไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่แล้ว ^^

ฮิคารุ: จริงเหรอ? เยี่ยมไปเล้ย =DDD

นากามารุ: เยี่ยมเลย! ของชั้นนะ โตขึ้นทุกปีเลยล่ะ DDDX

.
.
.


.
.
.

โคกิ: เอ่อ… อุเอดะ~ ทำไมนายต้องไปยืนซะไกลเลยล่ะ

อุเอดะ: อ่า~ ก็แค่… เพราะว่าชั้นยังไม่เคยได้คุยกับทุกคน(ใน JUMP)แบบนี้เลยน่ะ ชั้นก็เลยอยากจะคุยกับทุกคน

คาเมะ: (ถาม JUMP) พวกนายเคยคุยกับอุเอดะรึยัง

JUMP: เอ่อ… ยังไม่เคยมีโอกาสน่ะครับ

คาเมะ: ตอนที่ยังเป็น Jr พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกเหรอ

อุเอดะ: ก็ เรื่องเดียวที่ชั้นจำได้ก็คือ ชั้นเคยคุยกับฮิคารุ บอกว่า “นายหน้าเหมือนนากามารุเลย!” แล้วก็ทำให้เค้าร้องไห้ นั่นล่ะ (หัวเราะ)

ฮิคารุ: ผมโดนทุกคนรุมพูดใส่พร้อมๆกันว่าผมเหมือนนากามารุคุง ผมก็เลยร้องไห้ซะเลย XP

นากามารุ: เฮ่!!! งั้นต่อไปนี้ชั้นจะไม่พานายไปกินเนื้อย่างอีกต่อไปแล้ว = =+

ฮิคารุ: ไอหยา~ ไม่เอาน่า DDX

นากามารุ: ชั้นน่ะไปกินเนื้อย่างกับฮิคารุทุกๆครึ่งปีเลยล่ะ

ใครซักคน: รวมพลังจมูก?! (鼻コンビで) XDDD

.
.
.


.
.
.

จุนโนะ: ไหนๆวันนี้พวกนายก็มาเป็นแขกรับเชิญพิเศษให้พวกเราแล้ว งั้นเย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะ

JUMP: …โอ้, พูดจริงเหรอครับ?!

คาเมะ: เวลาที่จุนโนะพูดว่า “ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ” จะมีแค่ 2 คนเท่านั้นที่ตอบว่า “hontossuka” ทั้งๆที่คนอยู่เยอะแยะ แต่ว่าจะมีแค่ 2 คนเท่านั้นที่พูดขึ้นมา… XD (หัวเราะ)

จุนโนะ: ใช่แล้ว ^3^

คาเมะ: ยิ่งไปกว่านั้น น้ำเสียงเวลาที่พูดว่า “hontossuka” ก็ดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความ”ไม่เต็มใจ”อย่างแรง (หัวเราะ)

จุนโนะ: (หัวเราะ)

.
.
.


.
.
.

คาเมะ: (พูดกับ JUMP ที่กำลังจะลงจากเวที) หลังจากนี้ก็ทำตัวตามสบายนะ^^

JUMP: แน่นอนครับ!

คาเมะ: พวกเค้าคือ Hey!Say!JUMP!

JUMP: ขอบคุณครับ

.
.
.

————————————————————————–

Credit :: stevenica
Thai trans :: ลูลิ~ (kawaii~ne)
lady2go.wordpress.com ~
Please take it out with full credit

————————————————————————–