,, วันนี้ไปทำวีซ่าอเมริกามาเรียบร้อยแล้ว เย่..^^v
.
.
เกริ่นเรื่องได้ชวนให้ไม่น่าอ่านมากชิมิ ><
เรื่องของเรื่องคือวันนี้ไปสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกามาค่ะ
ฟังดูแสนธรรมดา.. แต่แบบว่าแอดเวนเจอร์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน -*-
เกริ่นให้ฟังก่อนว่า ลูลิไปทำวีซ่ามาหลายที่ เดินทางมาหลายประเทศ
แต่ก็ไม่เคยจะต้องทรมานจิตใจ ทรมานกายขนาดนี้มาก่อน = =’
สืบเนื่องจาก การจองวีซ่าที่ได้วันสัมภาษณ์ใกล้กับวันเดินทางมากกกกกกกกก
ชนิดที่ว่าไม่มีโอกาสให้พลาดเลย (ถ้าพลาดก็โบกมือลา เลื่อนการเดินทางได้เลย = =)
ผลที่ตามมาคือ “กดดัน”
.
.
แรกเริ่มเดิมที ลูลิไม่มีคำว่า “วีซ่าไม่ผ่าน” อยู่ในพจนานุกรมด้วยซ้ำ
เพราะว่าอย่างที่บอก เดินทางมาก็เยอะ แถมประเทศที่ขอวีซ่ายากๆ อังกฤษเอย ญี่ปุ่นเอย ก็ขอได้มาแล้วทั้งนั้น
แล้วก็ยังได้วีซ่าท่องเที่ยวของอเมริกามาอีก 10 ปีด้วย
แค่ขอไปเรียน มันจะไม่ให้ได้ยังไง ชิมิ = =
ลูลิก็มั่นอกมั่นใจแบบนั้นล่ะ…
แต่.. จนกระทั่งจิตตก โดนกดดันจากการจองวันสัมภาษณ์ได้กระชั้นเหลือเกิน
ก็เลยเข้าไปเก็บข้อมูลในพันทิพย์…
แล้วก็นั่นล่ะ จุดเริ่มต้นของปัญหา T^T
ไม่ได้โทษพันทิพย์ ไม่ได้โทษคนโพส
แต่คงต้องยอมรับว่า มันสร้างความกดดันมหาศาลให้ลูลิจริงๆ
แรกเริ่มจาก ได้ชัวร์ 120% (เกินร้อยด้วย 555+)
หลังจากอ่านกระทู้แรก เหลือ 98% อ่านอีก 80% อ่านอีก 75%
ง่ำ…. ลดลงเรื่องๆทุกกระทู้ที่อ่าน
เพราะอะไรรู้มั๊ยคะ เพราะว่าทั้งหมดทั้งมวล เค้าเล่าเกี่ยวกับการขอวีซ่าไม่ผ่านทั้งนั้นน่ะสิ -*-
พอยิ่งมีข้อมูลมาก ก็ยิ่งคิดมาก.. แล้วมันก็เลยเถิดเป็นจิตตก
“ถ้าหากเราไม่ผ่านล่ะ” เริ่มคืบคลานเข้ามาในหัว
ทำให้รู้สึกร้อนรน เตรียมเอกสารชนิดที่ว่าขนหลักฐานไปหมดทั้งชีวิต..อะไรแบบนั้นเลยล่ะ
(จริงๆเตรียมให้พร้อมมันก็เป็นเรื่องดีนะ 555+)
-ใบรับรองการทำงาน
-ใบรับรองการศึกษา
-ใบรับรองการทำงานของสปอนเซอร์
-เอกสารทางการเงินของสปอนเซอร์
-จดหมายรับรองการเป็นสปอนเซอร์
-เอกสารจดทะเบียนของบริษัท
-เอกสารการจ่ายเงินต่างๆ
-เอกสารจากมหาวิทยาลัยที่จะไปเรียน
-สมุดบัญชีพ่อ
-สมุดบัญชีตัวเอง
เตรียมมันหมด!! ชนิดที่ว่า “ถามไรมา ต้องตอบได้หมดชัวร์ๆ”
.
.
แต่.. ประเด็นของความทุลักทุเลในวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่เอกสารหรอกค่ะ
ถึงขอเอกสารมันจะวุ่น แต่เพราะว่ามีเวลาเหลือเฟือ ก็เลยชิว~
ประเด็นความวุ่นวาย มันอยู่ที่วันนี้ล่ะ
วันที่เดินทางไปสัมภาษณ์วีซ่า ณ สถานฑูตอเมริกา!!
สถานฑูตอเมริกา ตั้งอยู่เลขที่ 95 ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ 10330
ตรงข้ามกันเด๊ะๆกับอาคารสินทร (มาจากทางสาทรต้องไปกลับรถ)
ไม่มีที่จอดรถนะคะ แทกซี่โลด!!
.
.
เริ่มแรก… ลูลิจำเวลานัดผิด!!! (โง่ตั้งแต่ต้นเรื่อง T^T)
จำว่า 8 โมงครึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วมันคือ 8 โมง 15
และหนำซ้ำ เค้าสั่งให้ไปก่อนครึ่งชั่วโมง!!!!! (แปลว่า 7 โมง 45 ต้องนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ที่นั่งรอแล้ว)
มองนาฬิกาที่ข้อมือ.. 7 โมง 15 เดี๊ยนยังอยู่บนทางด่วน ที่ติดแหงกก่อนด่านงามวงศ์วาน
ชิ หาย แระ!! (คิดในใจ)
เห็นท่าไม่ดีละ ติดยาวไม่กระดิกแบบนี้ เลยต้องลงจากทางด่วนเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง
แต่ลงมาก็บรรลัยพอกัน = =’ แหงก!!
เพราะฝนตกปรอยๆรึเปล่า ทำให้รถติด? (จริงๆตกหรือไม่ตกก็ติดมั๊ง)
มองนาฬิกาอีกที 7 โมงครึ่ง ยังไม่ถึงเดอะมอลล์งามวงศ์วาน
ชิ หาย แน่แท้ละทีนี้!!! (คิดเสียงดังลั่น)
โชคดีนิดหน่อยที่วันนี้พ่ออาสาไปส่ง ก็เลยสั่งให้คนรถจอด
แล้วตัดสินใจโบกพี่วิน(มอไซต์) ไป!!
แต่ลงจากรถก็ใช่ว่าจะรอด… พี่วินคะ พี่วินหาย(หัว)ไปไหนกันหมดล่ะคะ!!!
ด้วยความที่ไม่เคยนั่งมอไซต์เลย ก็เลยไม่เข้าใจวัฒนธรรมการโบกมอไซต์ = =’
ก็เข้าใจว่าโบกได้เหมือนแทกซี่… แต่ไมไม่มีใครจอดเลยวะ
ชีวิตรันทดของลูลิ T^T
พอดีเห็นมีแถวตั้งอยู่ 3-4 คน เลยเดินเข้าไปถาม
“พี่คะ รอมอไซต์ตรงนี้เหรอคะ” (ทำหน้าบ้องแบ๊วประกอบ)
ผู้หญิงที่ยืนรออยู่ก่อนก็บอกใช่
“พี่คะ ทำไมรถมันมาส่งคนแล้วไม่จอด” (บ้องแบ๊วไม่เลิก)
ผู้หญิงคนเดิมก็ตอบมาสั้นๆว่า “ไม่ใช่วินเค้า”
ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ก็พอเกทว่า “โบกตรงนี้ไม่ได้”
ระหว่างที่ยืนรอ ลูลิคงทำท่าร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด (ก็ถึงเวลานัดแล้ว ยังอยู่งามวงศ์วาน ตายแน่!!)
พอมีรถมา ผู้หญิงคนนั้นเลยหันมาบอกว่า “รีบเหรอคะ ไปก่อนก็ได้ค่ะ”
โอ้วววว ประเสริฐค่ะ!! ขอบคุณนะคะ *ยิ้มหวานน้ำตานองหน้า*
“ไปสถานฑูตเมกาไปเท่าไหร่คะพี่”
พี่วินทำท่าอึกอัก
“หนูให้สองร้อยเลย ไปเหอะ”
พี่วินยังอึกอัก
“เอานะ” แล้วโดดขึ้นรถแบบไม่รอคำตอบ!!!,, คนมองทั้งวิน -*-
พี่วินเห็นลูลิมัดมือชก เลยตอบตกลง (แบบไม่ได้สรุปค่าโดยสาร)
แล้วก็บอกให้ลูลิลงจากรถ เพราะพี่วินต้องถอดเสื้อวินก่อน
พร้อมกันยื่นหมวกกันน๊อคมาให้ใส่
แต่… ป๊าดดดด มันใส่ไงวะ = =’
คนที่ยืนที่วิน เห็นท่าทางสุดทุลักทุเล ก็ยึกๆยักๆอยากเข้ามาช่วยอยู่หลายคน (สมเพชในความโง่ T^T)
แต่ก่อนที่จะมีคนยื่นมือมาช่วย “แกร๊ก” สายคาดมันก็ลงล๊อคพอดี
(ไม่รู้ว่าจะใส่ทำไมเหมือนกันนะ เพราะมันร่นไปข้างหลัง ละสายก็รั้งคอเจ็บไปหมด -*-)
“พี่คะ ให้ทัน 8 โมง 15 นะคะ”
พี่วินมองนาฬิกาข้อมือ “โหย จะทันเหรอ”
“เอาเหอะค่ะ ต้องทันค่ะ!!!!”
ว่าแล้วพี่วินก็พาลูลิ บรื๊นนนนนนนน ออกไปอย่างด่วน
.
.
รถเลี้ยวเลาะ เซาะข้างรถชาวบ้าน จนเสียวเข่าไปขูดสุดๆ
แต่ดูก็รู้ว่าพี่วินเองก็รีบให้อย่างเต็มที่แล้ว
จนมาถึงรัชดา… ฟ้าฝนก็อวยพร ตกลงมาอี๊กกกกกกกกกกก!!
ชิ หาย…… (สบถอยู่ในใจ)
อิชั้นไม่เคยนั่งมอไซด์ออกถนนใหญ่ ก็ไม่ชินอยู่แล้ว
นี่ยังต้องคอยหลบฝนเข้าตาอี๊กกกกก… ป้าดดดดดดดดดด มอไซต์ไม่คว่ำก็ต้องขอบคุณพระเจ้าแล้วเนี๊ยะ!!
ยังถือว่าฟ้าฝนยังเห็นใจ ตกมาเปาะแปะพอให้ชื้นๆ = =’
จนในที่สุด ก็มาถึงหน้าสถานฑูตจนได้ 8 โมง เกือบจะ 45
(นั่งอยู่บนมอไซต์เกือบชั่วโมง บร๊ะเจ้า!!)
“พี่คิดเท่าไหร่อ่ะ”
พี่วินทำท่าครุ่นคิด (ไม่ต้องคิดนาน หนูรีบ = =’) “เอา 300 ละกัน”
“หนูมีแบงค์พันมีทอนป่ะ”
พี่วินส่ายหน้า
“งั้นหนูมีแบงค์ย่อยหมดตัวแค่เนี๊ยะ” ควักหมดกระเป๋ายื่นให้ (230 บาท)
พี่วินก็หัวเราะแล้วก็รับไปแบบไม่ว่าอะไร
“ขอบคุณนะคะพี่” ยกมือไหว้แถมด้วย…แล้วก็รีบวิ่งไปหน้าทางเข้าสถานฑูตทันที
เรื่องราวของลูลิและพี่วินก็จบลง ณ ประการฉะนี้ ^^ *ปาดเหงื่อ*
.
.
.
.
หลังจากที่ทรมานกายมาตลอด 1 ชั่วโมงแล้วนั้น
ก็เป็นเรื่องราวความตื่นเต้น และกดดันล้วนๆค่ะ
กดดันแรกเลย คือ… มาสายไป ครึ่งชั่วโมงเต็มๆ เค้าจะให้เข้ามั๊ย ถ้าโดนปฎิเสธล่ะจะทำยังไง
แต่เอาวะ ไม่ลองไม่รู้
ว่าแล้วก็พุ่งเข้าไปที่ห้องกระจกด้านหน้า
เปิดฉากถามเจ้าหน้าที่แบบโง่สุดขีด “หนูมาสายไปครึ่งชั่วโมงเข้าได้มั๊ยคะ”
(บ๊ะ… ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามแบบนี้ -*-)
เจ้าหน้าที่ข้างในทำหน้างง “มาขอวีซ่าใช่มั๊ย ไปรอที่ประตูตรงนั้น”
ลูลิก็เดินไปจุดที่บอก ซักพักก็มีคนมาเปิดประตูให้
ข้างในเป็นห้องแอร์ชื้นๆ หน้าตาเหมือนที่ฝากของ (ซึ่งก็เป็นที่ฝากของนั่นล่ะ)
เคาท์เตอร์ซ้ายมือจะมีเจ้าหน้าที่เด็กสาวชาวไทย สวมเสื้อโปโลสีม่วง ยืนรอเชครายชื่ออยู่
เจ้าหน้าที่ตรงนี้ไม่ได้ตรวจเอกสารอะไรให้นะคะ (ตอนแรกเข้าใจว่าตรวจตรงนี้)
แค่ตรวจชื่อว่าเราได้นัดไว้รึเปล่า กับจ่ายตังรึยังแค่นั้น
ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรเลยยยยยยยยยยย แม้จะมาสายเป็นครึ่งชั่วโมง!!!
(ขอบคุณมากๆนะคะ นึกว่าจะตายซะแล้ว T^T)
*สำหรับคนที่มาสาย ถ้าผ่านด่านสาวเสื้อม่วงมาได้ก็ไม่ต้องรีบแล้วค่ะ
ลูลิรีบแทบตาย ร้อนรน เพราะคิดว่าข้างในเค้าจะเชคเวลาอะไรรึเปล่า
ปรากฎว่าไม่เลย…. ^^
จากนั้นก็เดินไต่ตามเคาท์เตอร์ไปจะเป็นที่ฝากของ
อุปกรณ์อิเลคทรอนิกทุกชนิด มือถือ เอ็มพีสาม กล้องถ่ายรูป เครื่องอัดเสียง เอาออกหมด
กุญแจรถที่มีรีโมท Thumb drive ก็ยังไม่เว้น
เอาบัตรประชาชนแนบไปกับของที่จะฝาก แล้วก็รับหมายเลขรับฝากมา
แล้วก็เดินเลยไปที่เครื่องสแกน (เหมือนในสนามบิน)
ก็จะแสกนกระเป๋า ส่วนตัวก็เดินผ่านไป
เจ้าหน้าที่จะชี้ทางไปต่อให้ (ซึ่งจริงๆก็มีทางอยู่ทางเดียว กรงล้อมตลอดจะหลงไปไหนได้ -*-)
.
.
ด่านต่อไปก็จะเป็นสาวชุดโปโลสีม่วงอีกเช่นกัน
ตรงนี้เจ้าหน้าที่จะช่วยตรวจสอบเอกสารให้
ลูลิเรียงเอกสารไว้ แล้วก็ยื่นให้พี่เจ้าหน้าที่ไปทั้งกอง (ทั้งหมดเป็นตัวจริง)
-Passport
-DS-160
-I-20
-ใบเสร็จ SEVIS
-ใบเสร็จค่าวีซ่า
พี่เจ้าหน้าที่หน้าหวาน ก็ถามหาเอกสารเพิ่มนิดหน่อย คือ
-Transcript (แต่สุดท้ายเอาใบจบไปแทน,, ทำไมล่ะ ?)
-ใบรับรองการทำงาน
แล้วพี่เจ้าหน้าที่ก็รวมเอกสาร(ที่คัดแล้ว)ทั้งหมด ใส่แฟ้มใสสีเหลือง
ที่มีใบปะหน้าใบเล็กๆสีฟ้า เขียนว่า “ยื่นเอกสารที่ช่อง 12,13”
“เดินเข้าไปที่ประตูไม้ แล้วก็ยื่นเอกสารที่ช่อง 12,13 ได้เลยค่ะ” ยิ้มหวานส่งท้ายอีกตะหาก
ตอนนี้รู้สึกใจชื้นขึ้นนิดหน่อย เพราะรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ใจดี >< แล้วก็สุภาพมากด้วย
.
.
ด้านหลังประตูไม้… *แอ๊ดดดดดดด*
โผล่หน้าเข้าไปสำรวจภายใน.. ก็เห็นเคาท์เตอร์ยาวๆ เป็นตู้ๆ (เหมือนสถานฑูตทั่วไป)
แต่ที่นี่เก่าพอสมควร อาจจะเพราะฝนตกด้วย เลยรู้สึกชื้นๆแปลกๆ
ลูลิตรงดิ่งเข้าไปที่เคาท์เตอร์หมายเลข 13 (แบบว่าเอาฤกษ์เอาชัยนิดนึง 5555+)
ตรงนี้คล้ายๆเป็นที่ตรวจเอกสารเบื้องต้น เจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงชาวไทย ไม่ดุ แต่ไม่ได้ใจดี ^^”
สิ่งที่ต้องทำในช่องนี้คือยื่นเอกสารเข้าไปทั้งแฟ้ม (ที่สาวชุดม่วงจัดให้มะกี๊)
พี่พนักงานก็จะสแกนบาร์โค้ด ปี๊ดๆๆ แล้วก็ให้เราแสกนนิ้วมือ
4 นิ้วข้างซ้าย 4 นิ้วข้างขวา แล้วก็ นิ้วโป้ง 2 ข้างพร้อมกัน
พร้อมกับให้อ่านกฎหมายอเมริกา ว่าด้วยการยืนยันตัวตนและยอมรับผิดหากปลอมแปลง เป็นการขู่ไว้ด้วย
เสร็จแล้วก็เอาบัตรคิวมาติด แล้วส่งแฟ้มคืน พร้อมบอกว่า “รอเรียกคิวค่ะ”
.
.
ลูลิรับแฟ้มคืนมาแบบงงๆ แล้วก็เดินเอ๋อไปหาที่นั่ง
มองบอร์ดหมายเลขคิวแล้วก้มมองเลขคิวตัวเองในมือ แล้วก็ต้องถอนหายใจยาว เฮ่อออออ
บนบอร์ดขึ้น 530 ใบในมือคือ 932!!!
(ตอนนั้นไม่ทันได้คิดว่า คนในห้องมันมีไม่เกินร้อยคนแน่ๆ เลขคิวมันคงกระโดด)
ลูลินั่งรอนิ่งๆอยู่ที่เก้าอี้ ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์เป็นระยะๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
แต่ก็ไม่ได้สนใจจับใจความมากนัก เพราะเมื่อคืนนอนน้อย(มาก)
ประกอบกับรู้สึกเวียนหัวชวนอ้วกเพราะมอไซต์เมื่อกี๊ด้วย
เลยนั่ง หลับ!!
แต่หลับยังไม่ทันสนิท เสียงประกาศก็ปลุกให้สะดุ้งตื่นจากภวังค์
“บัตรคิวหมายเลข 931-940 เชิญช่อง 11 เรียงตามเลขคิวค่ะ”
อ้าวเฮ๊ย เราแล้วนี่หว่า!!
รีบกุลีกุจอไปยืนรอหน้าตู้
ไม่อยากบอกว่า ใจแอบเต้นนี๊ดๆ >//////<
เจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงยังสาว ผมบลอนด์ตาฟ้า
สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ เลยเดาไม่ถูกว่าใจดีหรือใจร้ายกันแน่ ^^
(ตอนยืนรอแอบได้ยินคุณป้าช่อง 8 ในตำนานสัมภาษณ์อยู่ด้วยล่ะ ดุเชียว)
คงเพราะมัวแต่แอบฟังคุณป้าช่อง 8 แบบตั้งใจไปหน่อย กว่าจะรุ้สึกตัวอีกทีคนข้างหน้าก็ได้วีซ่าไปแระ
อ่าว… ลืมฟังเลยว่าสัมภาษณ์ว่าอะไรบ้าง =3=
.
.
คนข้างหน้าออกไปแล้ว ก็ถึงตาเราสินะ ^^”
ก้าวเดินไปอย่างมั่นใจ สอดแฟ้มเข้าช่อง แล้วก็ทักทาย “Hi~” (กระแดะอีกนะ 5555)
คุณเจ้าหน้าที่ เอาเอกสารมากางแผ่ไว้ที่โต๊ะ พร้อมเคาะคีบอร์ดโป๊กๆๆๆๆ
ไอ้เราก็ได้แต่มองนิ่งๆ กลืนน้ำลายเอื๊อก รอคำถาม..
รอจนคุณพี่เคาะเสร็จ ก็หันมาบอกให้ลูลิเอานิ้วกลางซ้ายวางลงบนเครื่องสแกนนิ้ว
แล้วถึงจะเริ่มคุย…
เจ้าหน้าที่คุยด้วยแบบไม่มองหน้าเท่าไหร่ (ลดความตื่นเต้นไปได้เยอะ เพราะเป็นโรคกลัวฝรั่งจ้อง -*-)
จำคำถามไม่ค่อยได้นะคะ เพราะง่วงและเวียนหัวหนักๆ = =’
ถามเป็นภาษาอังกฤษ และตอบเป็นภาษาอังกฤษ (แต่ขออนุญาตแปลไทยเพราะจำคำที่ใช้ไม่ได้)
* ถ้าพอพูดอังกิดได้ ถามเป็นอังกิดเวิร์คกว่าค่ะ เพราะตู้ข้างๆพูดภาษาไทย…
คูณจาไปทามอาร่ายที่อเมริกา
คูณจาอยู่ที่น่านนานแค่หน้าย
ทามมายคนนี้ต้องออกเงินให้ด่วย…. ฟังยากมาก 555+)
คำถามคร่าวๆก็ประมาณนี้
• จะไปทำอะไรที่อเมริกา
ไปเรียน
• เรียนที่ไหน
ก็ตอบชื่อโรงเรียน กับมหาลัยไป
• จะไปเรียนอะไร
เรียนภาษา แล้วก็ MBA
• เรียนภาษานานเท่าไหร่
ประมาณ 6 เดือนมั๊งคะ
• แล้วหลังจากนั้นล่ะ
ก็จะเข้ามหาลัยค่ะ
• ใครออกค่าใช้จ่ายให้
พ่อ
• พ่อทำงานอะไร
รับราชการ
• ที่ไปอเมริกาครั้งที่แล้ว ไปทำอะไร
ไปเที่ยว
• ตอนนี้ลาออกจากงานแล้วใช่มั๊ย
ใช่ เมื่อเดือนที่แล้วนี่ล่ะ
• ในนี้เขียนว่าทำงานในอุตสาหกรรมยา ทำตำแหน่งอะไร
Product designer
• จบ Landscape Architecture มา แต่ทำงานในอุตสาหกรรมยา แล้วจะเรียนต่อ MBA ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ (ประมาณว่าทำไมมันคนละทิศละทางมากๆแบบนี้)
ก็.. มีธุรกิจครอบครัว ก็เลยจะเรียน MBA
• ธุรกิจครอบครัวทำอะไร
ก็ไอ้อุตสาหกรรมยาที่ทำมานี่แหละ
• งั้นทำไมถึงเลือกเรียน Landscape Architecture ตั้งแต่แรกล่ะ
ก็.. ชอบแพลนนิ่ง ชอบวางแผน.. (เงียบไป เพราะไม่รู้จะตอบอะไร)
.
.
คุณเจ้าหน้าที่เหลือบตาขึ้นมามองแว่บนึง
แล้วก็ก้มหน้าปั๊มๆขีดๆลงไปในเอกสาร
“OK เราจะออกวีซ่าให้ ไปจ่ายเงินที่ตู้ทำการไปรษณีย์ด้านนอกนะคะ เราจะส่งพาสปอร์ตคืนให้ใน 3 วันทำการ”
แล้วก็ยื่นใบสีฟ้า ที่เป็นแบบฟอร์มขอส่งเล่มทางไปรษณีย์ (กรอกตอนสาวชุดม่วงตรวจเอกสาร) คืนมาให้
อ่าว…… เสร็จละเหรอ ยังไม่รู้ตัว..
(ง่วงอยู่ เลยมึนๆ -*-)
สรุปว่าเอกสารรับรอง เอกสารทางการเงิน ไม่ดูเลยซักอย่าง
สงสัยโพรไฟล์ดีจัด 555555555 *หัวเราะปากกว้าง*
.
.
เดินหน้ามึนออกมาจ่ายเงินที่ขวามือของประตูไม้อันเดิม (ลืมอยู่แอบฟังของคนอื่นเลย = =’)
75 บาทถ้วน จ่ายแบงค์พันได้ค่ะ มีทอน ^^
ยื่นใบฟ้าไป จ่ายเงินแล้วก็จะได้รับซองสีเหลืองอันโตๆมา 1 ซอง
ให้จ่าหน้าชื่อเป็นภาษาอังกฤษ และที่อยู่เป็นภาษาไทย
แล้วก็เอาไปคืนเจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่
แล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี…
เดินออกทางเดิม รับของที่ฝากไว้ แล้วก็ออกมาด้านหน้า
โบกแทกซี่กลับบ้าน…. ^^
.
.
เอนทรี่นี้ไม่มีรูปประกอบเลยเนอะ = =’
ก็โดนยึดกล้อง ยึดมือถือ เลยไม่รู้จะเอาอะไรไปถ่ายนี่นา
เอาเป็นว่า อ่านแล้วจินตนาการตามไปเองละกันนะคะ ^^
ขอให้ทุกคนโชคดี ขอวีซ่าผ่านกันหมดจ้า ♥
End.
Recent Comments