Follow my soul ,, ♥

เขียนไปเท่าที่ใจอยาก

► วีซ่านักเรียนอเมริกา (F1),, แล้วมันก็มาถึงมือ August 7, 2010

Filed under: ☺☺ USA :: August 2010 — lady2go @ 11:46 pm
Tags: , , ,

,, แล้วซองเหลืองๆจากสถานฑูตก็มานอนแอ้งแม๊งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมจนได้

ลูลิถอนหายใจเฮือกโตๆ.. เฮ้ออออออออ มาจนได้สินะ
ทีนี้ไม่มีข้ออ้างใดๆแระ -*-

จริงๆตอนแรก ลูลิเครียดว่าจะได้เล่มพาสปอร์ตคืนไม่ทันเดินทาง
แต่ถ้าใครห่วงเรื่องนี้อยู่ ก็ ย.ห. อย่าห่วงเลยค่ะ
เพราะว่าวีซ่าจะรู้ผลทันทีที่เรายื่น และจะพิมพ์วีซ่าแปะในพาสปอร์ตเราในวันนั้นเลย
วันรุ่งขึ้นจากวันที่เรายื่น วีซ่าจะไปอยู่ที่ ปณ.รองเมือง เรียบร้อยค่ะ
(ยกเว้นกรณีไปทำวันศุกร์ นั่นก็ซวยไป -*-)
จากปณ.รองเมือง ใครรีบก็สามารถไปรับเล่มที่นั่นเลยก็ได้
ถ้าใครไม่รีบ ก็รอวันนึง วันรุ่งขึ้นมันก็จะมาส่งถึงบ้านเลยจ้า ^^
(อันนี้ในเคสกทม.นะคะ ตจว.ก็คงถัดไปอีกวันนึง)

ลูลิไปทำวันอังคาร วันพฤหัสก็ได้เล่มคืนเรียบร้อยจ้า~

กรีดซองออกมา ก็เจอเอกสารปึกนึง พร้อมด้วยพาสปอร์ต 3 เล่ม!!
(คือส่งไปหมด 3 เล่ม ก็เลยได้คืน 3 เล่ม อย่าตกใจไป 5555+)
แต่ประเด็นอยู่ที่ ในพาสปอร์ต มีกระดาษ A4 3 ใบพับยัดๆแล้วแมกซ์ติดเอาไว้ด้วยนี่ล่ะ
อืม… พาสปอร์ตมันบวมได้อีกนะ = =’

ไอ้ใบ A4 ที่ว่านั้น ก็คือ I-20 ของเรานั่นเองล่ะค่ะ
(เจ้าใบ I-20 นี้ มันจะระบุชื่อโรงเรียนของเราไว้ด้วย
นั่นหมายความว่า ถ้าหากว่าย้ายโรงเรียน ก็ต้องทำเรื่องให้โรงเรียนใหม่ออกใบนี้ให้ใหม่ด้วยนะ)

้าหากว่าใบนี้หายไป วีซ่านักเรียนก็จะถือเป็นโมฆะ (ต้องใช้คู่กันเสมอ)
มองเล่มพาสปอร์ตแล้วก็ ถอนหายใจอีกรอบ
ถ้าจะต้องแมกซ์ติดกันแบบนี้ ไมไม่ออก I-20 ให้มันเล็กๆหน่อยแว๊ !!!! -*-

จริงๆอัพเอนทรี่นี้ก็ไม่ได้อะไร แค่เบื่อจัดกระเป๋า
เง้ออออออออ….

แล้วก็เอาหน้าตาวีซ่ามาให้ดูเล่นๆ ^^


อันนี้ของใหม่ที่เพิ่งได้สดๆร้อนๆ


ส่วนอันนี้ของเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

ที่หน้าตามันต่างกัน ไม่รู้ว่าต่างเพราะว่ามันผ่านมา 10 ปีแล้ว
หรือว่าต่างเพราะว่าเป็นวีซ่าท่องเที่ยว กับวีซ่านักเรียนเนอะ
(คาดว่าจะเป็นเพราะเหตุผลแรกมากกว่า ><)

ไม่ปลื้มตรงที่ใส่ชื่อ Kaplan Aspect ลงบนวีซ่านี่ล่ะ ไม่เท่ห์รุย
อยากได้เป็นชื่อ UCLA, Havard ไรงี๊…… (ฝันเฟื่อง 55555+)

.
.

เอาล่ะ!! อีก 3 วันจะเดินทาง
สู้ว๊อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!

End.

 

► เอกสารชิ้นสุดท้าย,, ใบขับขี่สากล August 3, 2010

,, ถ้าถามว่า อยากไปขับรถที่เมืองนอกต้องทำยังไง?!?
ตามกฎหมายแล้ว ถ้าหากว่าจะขับรถที่ต่างประเทศเราจำเป็นต้องมีใบขับขี่ค่ะ
แต่ว่าใช้ไอ้ใบที่เราใช้กันอยู่ไม่ได้นะคะ ต้องออกเป็น “ใบขับขี่สากล” เท่านั้น
ตามกฎหมายของไทย มันมีอายุ 1 ปีเต็ม
แต่.. เวลาไปเมืองนอก มันกลายสภาพเป็นแค่ใบขับขี่ชั่วคราวเท่านั้นเองค่ะ

เคยอ่านในหนังสือ เค้าบอกว่าโดนตำรวจที่แคลิฟอเนียจับ
พอยื่นใบนี่ให้ ตำรวจถึงกับงง “ไม่รู้จัก ขอรับกระผม!!”
เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ (ไม่ใช่แค่ไปเที่ยวไม่กี่วันก็กลับ)
ต้องทำใบขับขี่ของประเทศนั้นๆด้วยนะคะ

ถามว่า.. ถ้าต้องทำใบขับขี่ที่โน่นอยู่แล้ว แล้วลูลิทำทำไม!?
ก็เพราะว่าเจ้าใบขับขี่สากลนี่ สามารถเอาไปใช้ยื่นแทนการเรียนขับรถในแคลิฟอเนียได้ค่ะ
(น่าจะเป็นเฉพาะบางรัฐ เพราะโอกาโฮม่าที่ตาลไป ไม่ต้องเรียนก็สอบใบขับขี่ได้)
505 บาท แลกกับเงินหมื่นในการเรียนขับรถ (ทั้งๆที่ขับมา 8 ปีแล้ว)
ใครล่ะจะปล่อยโอกาสนี้ไป ^^

.

.

.

ลูลิเลือกวันที่ไปทำวีซ่า ถือโอกาสเลยไปทำใบขับขี่ด้วยเลย
เพราะว่าอ่านในเน็ตมา เค้าบอกว่าไปตอนบ่ายคนจะน้อยกว่า
แล้วก็เพราะที่สถานฑูตอเมริกาไม่มีที่จอดรถให้ค่ะ ลูลิก็เลยไม่ได้เอารถไป
ขากลับก็เลยอาศัยรถไฟฟ้านี่ล่ะ มาส่งถึงสถานีหมอชิต

สถานที่ทำใบขับขี่สากล ก็ที่เดียวกันกับทำใบขับขี่ธรรมดาเลยค่ะ
กรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร อาคาร 4 ชั้น 2
ตรงข้ามจตุจักร แล้วก็เดินเข้าในกรมการขนส่งทางบก ตรงมาจนสุดทางเลย (ไกลอยู่ -*-)

ลงจาก BTS ก็ต้องเดินยาวค่ะ
แต่เดินมาถึงโรงเรียนการบิน ก็เหลือบไปเห็นป้ายราคาพี่วิน
อาคาร 1-8 → 10 บาท
สมองอันเหนื่อยล้าก็คำนวนทันควัน
ไอ้ขนม(ไม่อร่อย)ในมือนี่ ราคา 15 บาท
แล้วเราจะทนเดินกินไปจนถึงอาคาร 4 เลยเหรอ (ขับรถผ่านบ่อยๆ เลยรู้ว่ามันไกล)
เอาวะ…. พี่วินดีกว่า!!

แล้วมันก็เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดของลูลิในวันนี้เลยค่ะ
เพราะข้างใน น้ำท่วมมมมมมมมมม!!
ถ้าเดินคงลำบากมากทีเดียวเชียวล่ะ
10 บาทเนี่ย แค่แลกกับรองเท่าไม่เปียกก็คุ้มแล้วววว ><

พี่วินพามาส่งถึงประตูทางขึ้นตึก ^^
ซึ่งด้านในก็จะเขียนบอกทางไว้ชัดเจนเลยว่า “ทำใบขับขี่สากล ชั้น 2”

บันไดอยู่ตรงสุดทางเดินค่ะ ขึ้นไปก็จะเจอ “ห้องเตรียมตัว”
ที่ผนังห้องจะติดบอกเอาไว้ว่า มาขอใบอะไร ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง
สำหรับใบขับขี่สากล ใช้เอกสารน้อยสุดๆ และง่ายดายเป็นที่สุดค่ะ
1.สำเนาพาสปอร์ต
2.สำเนาบัตรประชาชน
3.สำเนาใบขับขี่แบบ 5 ปี หรือตลอดชีพ (พร้อมตัวจริง)
4.รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 ใบ
5.เงิน 505 บาท

กรณีเปลี่ยนชื่อ ต้องมีใบเปลียนชื่อด้วย
กรณีให้บุคคลอื่นมาทำแทน ต้องมีใบมอบอำนาจ และอากรแสตมป์ 10 บาท

ถ้าไม่ได้ถ่ายสำเนามา ที่นี่มีร้านถ่ายเอกสารบริการค่ะ
คิดหน้าละ 1 บาท (ถ่ายบัตรก็ 2 บาทเพราะ 2 หน้า)
ไม่โหดหน้าเลือกเท่าแถวบ้านลูลิ หน้าละ 2 บาท,, เวอร์ได้อีก -*-
แถมป้าแกยังชวนคุยด้วย อัธยาศัยดีใช้ได้เลยล่ะ ^^

.

.

พอเตรียมเอกสารเรียบร้อย ก็เอาเอกสารไปให้เจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์ตรวจซะก่อน
เจ้าหน้าที่จะกดบัตรคิวให้ แล้วบอกเราว่าให้ไปรอที่ไหน
ตอนที่มาทำใบขับขี่ธรรมดา ก็จะอยู่ช่องต้นๆค่ะ
อันนี้กระเด็นไปอยู่ลึกสุดของห้อง คือเคาท์เตอร์ที่ 19-22

ตรงมุมห้องก็มีคนนั่งรอทำใบขับขี่เยอะอยู่
แต่แอบเหลือบไปเห็นโฆษณาว่า
One stop service รับคำขอ ชำระเงิน รอรับภายใน 20 นาที
อะหือ… 20 นาทีเองเหรอ ลองจับเวลาดูซะหน่อย

11:22 ลูลิกดบัตรคิว
11.40 ได้ยื่นเอกสาร
11.45 ได้รับใบขับขี่

เด็ดมากกกกกกกกกกก!!! ใช้เวลาในการออกเอกสารแค่ 5 นาทีเท่านั้นเอง
อูยยย ประทับใจ ><

.

.

ส่วนหน้าตาใบขับขี่สากล ถ้าใครคิดว่าจะออกมาเป็นการ์ดล่ะก็ ผิดถนัดค่ะ
เพราะมันเป็นเล่ม ใหญ่กว่าพาสปอร์ตนิดนึง แล้วก็บางกว่า
ข้างในจะติดรูป แล้วก็มีตราประทับ เท่านั้นก็เสร็จสิ้นกระบวนการ ^^

คิดแล้วก็แอบใจหาย วันนี้ยังขับพวกมาลัยขวา แต่อาทิตย์หน้าก็ต้องเปลี่ยนไปขับพวงมาลัยซ้ายแล้ว
เหลือเวลาอีกแค่ 7 วันเท่านั้นเอง T^T
I’m about to leave…

End.

 

► ทำวีซ่าอเมริกา,, ทุกลักทุเลกายา ทรมานจิตใจ = =’

,, วันนี้ไปทำวีซ่าอเมริกามาเรียบร้อยแล้ว เย่..^^v

.

.

เกริ่นเรื่องได้ชวนให้ไม่น่าอ่านมากชิมิ ><
เรื่องของเรื่องคือวันนี้ไปสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกามาค่ะ
ฟังดูแสนธรรมดา.. แต่แบบว่าแอดเวนเจอร์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน -*-

เกริ่นให้ฟังก่อนว่า ลูลิไปทำวีซ่ามาหลายที่ เดินทางมาหลายประเทศ
แต่ก็ไม่เคยจะต้องทรมานจิตใจ ทรมานกายขนาดนี้มาก่อน = =’
สืบเนื่องจาก การจองวีซ่าที่ได้วันสัมภาษณ์ใกล้กับวันเดินทางมากกกกกกกกก
ชนิดที่ว่าไม่มีโอกาสให้พลาดเลย (ถ้าพลาดก็โบกมือลา เลื่อนการเดินทางได้เลย = =)
ผลที่ตามมาคือ “กดดัน”

.

.

แรกเริ่มเดิมที ลูลิไม่มีคำว่า “วีซ่าไม่ผ่าน” อยู่ในพจนานุกรมด้วยซ้ำ
เพราะว่าอย่างที่บอก เดินทางมาก็เยอะ แถมประเทศที่ขอวีซ่ายากๆ อังกฤษเอย ญี่ปุ่นเอย ก็ขอได้มาแล้วทั้งนั้น
แล้วก็ยังได้วีซ่าท่องเที่ยวของอเมริกามาอีก 10 ปีด้วย
แค่ขอไปเรียน มันจะไม่ให้ได้ยังไง ชิมิ = =
ลูลิก็มั่นอกมั่นใจแบบนั้นล่ะ…

แต่.. จนกระทั่งจิตตก โดนกดดันจากการจองวันสัมภาษณ์ได้กระชั้นเหลือเกิน
ก็เลยเข้าไปเก็บข้อมูลในพันทิพย์…
แล้วก็นั่นล่ะ จุดเริ่มต้นของปัญหา T^T

ไม่ได้โทษพันทิพย์ ไม่ได้โทษคนโพส
แต่คงต้องยอมรับว่า มันสร้างความกดดันมหาศาลให้ลูลิจริงๆ
แรกเริ่มจาก ได้ชัวร์ 120% (เกินร้อยด้วย 555+)
หลังจากอ่านกระทู้แรก เหลือ 98% อ่านอีก 80% อ่านอีก 75%
ง่ำ…. ลดลงเรื่องๆทุกกระทู้ที่อ่าน

เพราะอะไรรู้มั๊ยคะ เพราะว่าทั้งหมดทั้งมวล เค้าเล่าเกี่ยวกับการขอวีซ่าไม่ผ่านทั้งนั้นน่ะสิ -*-
พอยิ่งมีข้อมูลมาก ก็ยิ่งคิดมาก.. แล้วมันก็เลยเถิดเป็นจิตตก
“ถ้าหากเราไม่ผ่านล่ะ” เริ่มคืบคลานเข้ามาในหัว
ทำให้รู้สึกร้อนรน เตรียมเอกสารชนิดที่ว่าขนหลักฐานไปหมดทั้งชีวิต..อะไรแบบนั้นเลยล่ะ
(จริงๆเตรียมให้พร้อมมันก็เป็นเรื่องดีนะ 555+)
-ใบรับรองการทำงาน
-ใบรับรองการศึกษา
-ใบรับรองการทำงานของสปอนเซอร์
-เอกสารทางการเงินของสปอนเซอร์
-จดหมายรับรองการเป็นสปอนเซอร์
-เอกสารจดทะเบียนของบริษัท
-เอกสารการจ่ายเงินต่างๆ
-เอกสารจากมหาวิทยาลัยที่จะไปเรียน
-สมุดบัญชีพ่อ
-สมุดบัญชีตัวเอง
เตรียมมันหมด!! ชนิดที่ว่า “ถามไรมา ต้องตอบได้หมดชัวร์ๆ”

.

.

แต่.. ประเด็นของความทุลักทุเลในวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่เอกสารหรอกค่ะ
ถึงขอเอกสารมันจะวุ่น แต่เพราะว่ามีเวลาเหลือเฟือ ก็เลยชิว~

ประเด็นความวุ่นวาย มันอยู่ที่วันนี้ล่ะ
วันที่เดินทางไปสัมภาษณ์วีซ่า ณ สถานฑูตอเมริกา!!

สถานฑูตอเมริกา ตั้งอยู่เลขที่ 95 ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ 10330
ตรงข้ามกันเด๊ะๆกับอาคารสินทร (มาจากทางสาทรต้องไปกลับรถ)
ไม่มีที่จอดรถนะคะ แทกซี่โลด!!

.

.

เริ่มแรก… ลูลิจำเวลานัดผิด!!! (โง่ตั้งแต่ต้นเรื่อง T^T)
จำว่า 8 โมงครึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วมันคือ 8 โมง 15
และหนำซ้ำ เค้าสั่งให้ไปก่อนครึ่งชั่วโมง!!!!! (แปลว่า 7 โมง 45 ต้องนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ที่นั่งรอแล้ว)
มองนาฬิกาที่ข้อมือ.. 7 โมง 15 เดี๊ยนยังอยู่บนทางด่วน ที่ติดแหงกก่อนด่านงามวงศ์วาน
ชิ หาย แระ!! (คิดในใจ)

เห็นท่าไม่ดีละ ติดยาวไม่กระดิกแบบนี้ เลยต้องลงจากทางด่วนเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง
แต่ลงมาก็บรรลัยพอกัน = =’ แหงก!!
เพราะฝนตกปรอยๆรึเปล่า ทำให้รถติด? (จริงๆตกหรือไม่ตกก็ติดมั๊ง)
มองนาฬิกาอีกที 7 โมงครึ่ง ยังไม่ถึงเดอะมอลล์งามวงศ์วาน
ชิ หาย แน่แท้ละทีนี้!!! (คิดเสียงดังลั่น)

โชคดีนิดหน่อยที่วันนี้พ่ออาสาไปส่ง ก็เลยสั่งให้คนรถจอด
แล้วตัดสินใจโบกพี่วิน(มอไซต์) ไป!!
แต่ลงจากรถก็ใช่ว่าจะรอด… พี่วินคะ พี่วินหาย(หัว)ไปไหนกันหมดล่ะคะ!!!
ด้วยความที่ไม่เคยนั่งมอไซต์เลย ก็เลยไม่เข้าใจวัฒนธรรมการโบกมอไซต์ = =’
ก็เข้าใจว่าโบกได้เหมือนแทกซี่… แต่ไมไม่มีใครจอดเลยวะ
ชีวิตรันทดของลูลิ T^T

พอดีเห็นมีแถวตั้งอยู่ 3-4 คน เลยเดินเข้าไปถาม
“พี่คะ รอมอไซต์ตรงนี้เหรอคะ” (ทำหน้าบ้องแบ๊วประกอบ)
ผู้หญิงที่ยืนรออยู่ก่อนก็บอกใช่
“พี่คะ ทำไมรถมันมาส่งคนแล้วไม่จอด” (บ้องแบ๊วไม่เลิก)
ผู้หญิงคนเดิมก็ตอบมาสั้นๆว่า “ไม่ใช่วินเค้า”
ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ก็พอเกทว่า “โบกตรงนี้ไม่ได้”

ระหว่างที่ยืนรอ ลูลิคงทำท่าร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด (ก็ถึงเวลานัดแล้ว ยังอยู่งามวงศ์วาน ตายแน่!!)
พอมีรถมา ผู้หญิงคนนั้นเลยหันมาบอกว่า “รีบเหรอคะ ไปก่อนก็ได้ค่ะ”
โอ้วววว ประเสริฐค่ะ!! ขอบคุณนะคะ *ยิ้มหวานน้ำตานองหน้า*

“ไปสถานฑูตเมกาไปเท่าไหร่คะพี่”
พี่วินทำท่าอึกอัก
“หนูให้สองร้อยเลย ไปเหอะ”
พี่วินยังอึกอัก
“เอานะ” แล้วโดดขึ้นรถแบบไม่รอคำตอบ!!!,, คนมองทั้งวิน -*-

พี่วินเห็นลูลิมัดมือชก เลยตอบตกลง (แบบไม่ได้สรุปค่าโดยสาร)
แล้วก็บอกให้ลูลิลงจากรถ เพราะพี่วินต้องถอดเสื้อวินก่อน
พร้อมกันยื่นหมวกกันน๊อคมาให้ใส่
แต่… ป๊าดดดด มันใส่ไงวะ = =’
คนที่ยืนที่วิน เห็นท่าทางสุดทุลักทุเล ก็ยึกๆยักๆอยากเข้ามาช่วยอยู่หลายคน (สมเพชในความโง่ T^T)
แต่ก่อนที่จะมีคนยื่นมือมาช่วย “แกร๊ก” สายคาดมันก็ลงล๊อคพอดี
(ไม่รู้ว่าจะใส่ทำไมเหมือนกันนะ เพราะมันร่นไปข้างหลัง ละสายก็รั้งคอเจ็บไปหมด -*-)

“พี่คะ ให้ทัน 8 โมง 15 นะคะ”
พี่วินมองนาฬิกาข้อมือ “โหย จะทันเหรอ”
“เอาเหอะค่ะ ต้องทันค่ะ!!!!”
ว่าแล้วพี่วินก็พาลูลิ บรื๊นนนนนนนน ออกไปอย่างด่วน

.

.

รถเลี้ยวเลาะ เซาะข้างรถชาวบ้าน จนเสียวเข่าไปขูดสุดๆ
แต่ดูก็รู้ว่าพี่วินเองก็รีบให้อย่างเต็มที่แล้ว
จนมาถึงรัชดา… ฟ้าฝนก็อวยพร ตกลงมาอี๊กกกกกกกกกกก!!
ชิ หาย…… (สบถอยู่ในใจ)
อิชั้นไม่เคยนั่งมอไซด์ออกถนนใหญ่ ก็ไม่ชินอยู่แล้ว
นี่ยังต้องคอยหลบฝนเข้าตาอี๊กกกกก… ป้าดดดดดดดดดด มอไซต์ไม่คว่ำก็ต้องขอบคุณพระเจ้าแล้วเนี๊ยะ!!

ยังถือว่าฟ้าฝนยังเห็นใจ ตกมาเปาะแปะพอให้ชื้นๆ = =’
จนในที่สุด ก็มาถึงหน้าสถานฑูตจนได้ 8 โมง เกือบจะ 45
(นั่งอยู่บนมอไซต์เกือบชั่วโมง บร๊ะเจ้า!!)

“พี่คิดเท่าไหร่อ่ะ”
พี่วินทำท่าครุ่นคิด (ไม่ต้องคิดนาน หนูรีบ = =’) “เอา 300 ละกัน”
“หนูมีแบงค์พันมีทอนป่ะ”
พี่วินส่ายหน้า
“งั้นหนูมีแบงค์ย่อยหมดตัวแค่เนี๊ยะ” ควักหมดกระเป๋ายื่นให้ (230 บาท)
พี่วินก็หัวเราะแล้วก็รับไปแบบไม่ว่าอะไร
“ขอบคุณนะคะพี่” ยกมือไหว้แถมด้วย…แล้วก็รีบวิ่งไปหน้าทางเข้าสถานฑูตทันที
เรื่องราวของลูลิและพี่วินก็จบลง ณ ประการฉะนี้ ^^ *ปาดเหงื่อ*

.

.

.

.

หลังจากที่ทรมานกายมาตลอด 1 ชั่วโมงแล้วนั้น
ก็เป็นเรื่องราวความตื่นเต้น และกดดันล้วนๆค่ะ
กดดันแรกเลย คือ… าสายไป ครึ่งชั่วโมงเต็มๆ เค้าจะให้เข้ามั๊ย ถ้าโดนปฎิเสธล่ะจะทำยังไง
แต่เอาวะ ไม่ลองไม่รู้

ว่าแล้วก็พุ่งเข้าไปที่ห้องกระจกด้านหน้า
เปิดฉากถามเจ้าหน้าที่แบบโง่สุดขีด “หนูมาสายไปครึ่งชั่วโมงเข้าได้มั๊ยคะ”
(บ๊ะ… ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามแบบนี้ -*-)
เจ้าหน้าที่ข้างในทำหน้างง “มาขอวีซ่าใช่มั๊ย ไปรอที่ประตูตรงนั้น”
ลูลิก็เดินไปจุดที่บอก ซักพักก็มีคนมาเปิดประตูให้

ข้างในเป็นห้องแอร์ชื้นๆ หน้าตาเหมือนที่ฝากของ (ซึ่งก็เป็นที่ฝากของนั่นล่ะ)
เคาท์เตอร์ซ้ายมือจะมีเจ้าหน้าที่เด็กสาวชาวไทย สวมเสื้อโปโลสีม่วง ยืนรอเชครายชื่ออยู่
เจ้าหน้าที่ตรงนี้ไม่ได้ตรวจเอกสารอะไรให้นะคะ (ตอนแรกเข้าใจว่าตรวจตรงนี้)
แค่ตรวจชื่อว่าเราได้นัดไว้รึเปล่า กับจ่ายตังรึยังแค่นั้น
ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรเลยยยยยยยยยยย แม้จะมาสายเป็นครึ่งชั่วโมง!!!
(ขอบคุณมากๆนะคะ นึกว่าจะตายซะแล้ว T^T)

*สำหรับคนที่มาสาย ถ้าผ่านด่านสาวเสื้อม่วงมาได้ก็ไม่ต้องรีบแล้วค่ะ
ลูลิรีบแทบตาย ร้อนรน เพราะคิดว่าข้างในเค้าจะเชคเวลาอะไรรึเปล่า
ปรากฎว่าไม่เลย…. ^^

จากนั้นก็เดินไต่ตามเคาท์เตอร์ไปจะเป็นที่ฝากของ
อุปกรณ์อิเลคทรอนิกทุกชนิด มือถือ เอ็มพีสาม กล้องถ่ายรูป เครื่องอัดเสียง เอาออกหมด
กุญแจรถที่มีรีโมท Thumb drive ก็ยังไม่เว้น
เอาบัตรประชาชนแนบไปกับของที่จะฝาก แล้วก็รับหมายเลขรับฝากมา

แล้วก็เดินเลยไปที่เครื่องสแกน (เหมือนในสนามบิน)
ก็จะแสกนกระเป๋า ส่วนตัวก็เดินผ่านไป
เจ้าหน้าที่จะชี้ทางไปต่อให้ (ซึ่งจริงๆก็มีทางอยู่ทางเดียว กรงล้อมตลอดจะหลงไปไหนได้ -*-)

.

.

ด่านต่อไปก็จะเป็นสาวชุดโปโลสีม่วงอีกเช่นกัน
ตรงนี้เจ้าหน้าที่จะช่วยตรวจสอบเอกสารให้
ลูลิเรียงเอกสารไว้ แล้วก็ยื่นให้พี่เจ้าหน้าที่ไปทั้งกอง (ทั้งหมดเป็นตัวจริง)
-Passport
-DS-160
-I-20
-ใบเสร็จ SEVIS
-ใบเสร็จค่าวีซ่า

พี่เจ้าหน้าที่หน้าหวาน ก็ถามหาเอกสารเพิ่มนิดหน่อย คือ
-Transcript (แต่สุดท้ายเอาใบจบไปแทน,, ทำไมล่ะ ?)
-ใบรับรองการทำงาน

แล้วพี่เจ้าหน้าที่ก็รวมเอกสาร(ที่คัดแล้ว)ทั้งหมด ใส่แฟ้มใสสีเหลือง
ที่มีใบปะหน้าใบเล็กๆสีฟ้า เขียนว่า “ยื่นเอกสารที่ช่อง 12,13”
“เดินเข้าไปที่ประตูไม้ แล้วก็ยื่นเอกสารที่ช่อง 12,13 ได้เลยค่ะ” ยิ้มหวานส่งท้ายอีกตะหาก
ตอนนี้รู้สึกใจชื้นขึ้นนิดหน่อย เพราะรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ใจดี >< แล้วก็สุภาพมากด้วย

.

.

ด้านหลังประตูไม้… *แอ๊ดดดดดดด*
โผล่หน้าเข้าไปสำรวจภายใน.. ก็เห็นเคาท์เตอร์ยาวๆ เป็นตู้ๆ (เหมือนสถานฑูตทั่วไป)
แต่ที่นี่เก่าพอสมควร อาจจะเพราะฝนตกด้วย เลยรู้สึกชื้นๆแปลกๆ
ลูลิตรงดิ่งเข้าไปที่เคาท์เตอร์หมายเลข 13 (แบบว่าเอาฤกษ์เอาชัยนิดนึง 5555+)
ตรงนี้คล้ายๆเป็นที่ตรวจเอกสารเบื้องต้น เจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงชาวไทย ไม่ดุ แต่ไม่ได้ใจดี ^^”

สิ่งที่ต้องทำในช่องนี้คือยื่นเอกสารเข้าไปทั้งแฟ้ม (ที่สาวชุดม่วงจัดให้มะกี๊)
พี่พนักงานก็จะสแกนบาร์โค้ด ปี๊ดๆๆ แล้วก็ให้เราแสกนนิ้วมือ
4 นิ้วข้างซ้าย 4 นิ้วข้างขวา แล้วก็ นิ้วโป้ง 2 ข้างพร้อมกัน
พร้อมกับให้อ่านกฎหมายอเมริกา ว่าด้วยการยืนยันตัวตนและยอมรับผิดหากปลอมแปลง เป็นการขู่ไว้ด้วย
เสร็จแล้วก็เอาบัตรคิวมาติด แล้วส่งแฟ้มคืน พร้อมบอกว่า “รอเรียกคิวค่ะ”

.

.

ลูลิรับแฟ้มคืนมาแบบงงๆ แล้วก็เดินเอ๋อไปหาที่นั่ง
มองบอร์ดหมายเลขคิวแล้วก้มมองเลขคิวตัวเองในมือ แล้วก็ต้องถอนหายใจยาว เฮ่อออออ
บนบอร์ดขึ้น 530 ใบในมือคือ 932!!!
(ตอนนั้นไม่ทันได้คิดว่า คนในห้องมันมีไม่เกินร้อยคนแน่ๆ เลขคิวมันคงกระโดด)

ลูลินั่งรอนิ่งๆอยู่ที่เก้าอี้ ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์เป็นระยะๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
แต่ก็ไม่ได้สนใจจับใจความมากนัก เพราะเมื่อคืนนอนน้อย(มาก)
ประกอบกับรู้สึกเวียนหัวชวนอ้วกเพราะมอไซต์เมื่อกี๊ด้วย
เลยนั่ง หลับ!!

แต่หลับยังไม่ทันสนิท เสียงประกาศก็ปลุกให้สะดุ้งตื่นจากภวังค์
“บัตรคิวหมายเลข 931-940 เชิญช่อง 11 เรียงตามเลขคิวค่ะ”
อ้าวเฮ๊ย เราแล้วนี่หว่า!!
รีบกุลีกุจอไปยืนรอหน้าตู้
ไม่อยากบอกว่า ใจแอบเต้นนี๊ดๆ >//////<

เจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงยังสาว ผมบลอนด์ตาฟ้า
สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ เลยเดาไม่ถูกว่าใจดีหรือใจร้ายกันแน่ ^^
(ตอนยืนรอแอบได้ยินคุณป้าช่อง 8 ในตำนานสัมภาษณ์อยู่ด้วยล่ะ ดุเชียว)
คงเพราะมัวแต่แอบฟังคุณป้าช่อง 8 แบบตั้งใจไปหน่อย กว่าจะรุ้สึกตัวอีกทีคนข้างหน้าก็ได้วีซ่าไปแระ
อ่าว… ลืมฟังเลยว่าสัมภาษณ์ว่าอะไรบ้าง =3=

.

.

คนข้างหน้าออกไปแล้ว ก็ถึงตาเราสินะ ^^”
ก้าวเดินไปอย่างมั่นใจ สอดแฟ้มเข้าช่อง แล้วก็ทักทาย “Hi~” (กระแดะอีกนะ 5555)
คุณเจ้าหน้าที่ เอาเอกสารมากางแผ่ไว้ที่โต๊ะ พร้อมเคาะคีบอร์ดโป๊กๆๆๆๆ
ไอ้เราก็ได้แต่มองนิ่งๆ กลืนน้ำลายเอื๊อก รอคำถาม..
รอจนคุณพี่เคาะเสร็จ ก็หันมาบอกให้ลูลิเอานิ้วกลางซ้ายวางลงบนเครื่องสแกนนิ้ว
แล้วถึงจะเริ่มคุย…

เจ้าหน้าที่คุยด้วยแบบไม่มองหน้าเท่าไหร่ (ลดความตื่นเต้นไปได้เยอะ เพราะเป็นโรคกลัวฝรั่งจ้อง -*-)
จำคำถามไม่ค่อยได้นะคะ เพราะง่วงและเวียนหัวหนักๆ = =’
ถามเป็นภาษาอังกฤษ และตอบเป็นภาษาอังกฤษ (แต่ขออนุญาตแปลไทยเพราะจำคำที่ใช้ไม่ได้)

* ถ้าพอพูดอังกิดได้ ถามเป็นอังกิดเวิร์คกว่าค่ะ เพราะตู้ข้างๆพูดภาษาไทย…
คูณจาไปทามอาร่ายที่อเมริกา
คูณจาอยู่ที่น่านนานแค่หน้าย
ทามมายคนนี้ต้องออกเงินให้ด่วย…. ฟังยากมาก 555+)

คำถามคร่าวๆก็ประมาณนี้

• จะไปทำอะไรที่อเมริกา
ไปเรียน

• เรียนที่ไหน
ก็ตอบชื่อโรงเรียน กับมหาลัยไป

• จะไปเรียนอะไร
เรียนภาษา แล้วก็ MBA

• เรียนภาษานานเท่าไหร่
ประมาณ 6 เดือนมั๊งคะ

• แล้วหลังจากนั้นล่ะ
ก็จะเข้ามหาลัยค่ะ

• ใครออกค่าใช้จ่ายให้
พ่อ

• พ่อทำงานอะไร
รับราชการ

• ที่ไปอเมริกาครั้งที่แล้ว ไปทำอะไร
ไปเที่ยว

• ตอนนี้ลาออกจากงานแล้วใช่มั๊ย
ใช่ เมื่อเดือนที่แล้วนี่ล่ะ

• ในนี้เขียนว่าทำงานในอุตสาหกรรมยา ทำตำแหน่งอะไร
Product designer

• จบ Landscape Architecture มา แต่ทำงานในอุตสาหกรรมยา แล้วจะเรียนต่อ MBA ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ (ประมาณว่าทำไมมันคนละทิศละทางมากๆแบบนี้)
ก็.. มีธุรกิจครอบครัว ก็เลยจะเรียน MBA

• ธุรกิจครอบครัวทำอะไร
ก็ไอ้อุตสาหกรรมยาที่ทำมานี่แหละ

• งั้นทำไมถึงเลือกเรียน Landscape Architecture ตั้งแต่แรกล่ะ
ก็.. ชอบแพลนนิ่ง ชอบวางแผน.. (เงียบไป เพราะไม่รู้จะตอบอะไร)

.

.

คุณเจ้าหน้าที่เหลือบตาขึ้นมามองแว่บนึง
แล้วก็ก้มหน้าปั๊มๆขีดๆลงไปในเอกสาร
“OK เราจะออกวีซ่าให้ ไปจ่ายเงินที่ตู้ทำการไปรษณีย์ด้านนอกนะคะ เราจะส่งพาสปอร์ตคืนให้ใน 3 วันทำการ”
แล้วก็ยื่นใบสีฟ้า ที่เป็นแบบฟอร์มขอส่งเล่มทางไปรษณีย์ (กรอกตอนสาวชุดม่วงตรวจเอกสาร) คืนมาให้

อ่าว…… เสร็จละเหรอ ยังไม่รู้ตัว..
(ง่วงอยู่ เลยมึนๆ -*-)

สรุปว่าเอกสารรับรอง เอกสารทางการเงิน ไม่ดูเลยซักอย่าง
สงสัยโพรไฟล์ดีจัด 555555555 *หัวเราะปากกว้าง*

.

.

เดินหน้ามึนออกมาจ่ายเงินที่ขวามือของประตูไม้อันเดิม (ลืมอยู่แอบฟังของคนอื่นเลย = =’)
75 บาทถ้วน จ่ายแบงค์พันได้ค่ะ มีทอน ^^
ยื่นใบฟ้าไป จ่ายเงินแล้วก็จะได้รับซองสีเหลืองอันโตๆมา 1 ซอง
ให้จ่าหน้าชื่อเป็นภาษาอังกฤษ และที่อยู่เป็นภาษาไทย
แล้วก็เอาไปคืนเจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่
แล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี…

เดินออกทางเดิม รับของที่ฝากไว้ แล้วก็ออกมาด้านหน้า
โบกแทกซี่กลับบ้าน…. ^^

.

.

เอนทรี่นี้ไม่มีรูปประกอบเลยเนอะ = =’
ก็โดนยึดกล้อง ยึดมือถือ เลยไม่รู้จะเอาอะไรไปถ่ายนี่นา
เอาเป็นว่า อ่านแล้วจินตนาการตามไปเองละกันนะคะ ^^

ขอให้ทุกคนโชคดี ขอวีซ่าผ่านกันหมดจ้า ♥

End.

 

► เตรียมตัวขอวีซ่าสุดวุ่นวาย,, กรอกเอกสาร จองวัน จ่ายเงิน = =’ July 30, 2010

,, มัวแต่บ้าเด็กๆ Hey! Say! JUMP เลยไม่ได้เขียนเรื่องที่ควรจะเขียนต่อซักที ><
บลอคเริ่มเละเทะละเนอะ  เขียนหลายเรื่องเกิน 555+

วันนี้ก็ใกล้ถึงวันที่จะขอวีซ่าละ ก็เลยมาอัพเดทเรื่องการขอวีซ่าซะหน่อย
หลายคนอาจจะรู้แล้วล่ะเน๊าะ ว่ามันเปลี่ยนวิธีการขอแล้ว
เมื่อก่อนนี้จะต้องไปเข้าคิวแต่เช้ามืดกันหน้าสถานฑูตใช่มั๊ยคะ
ตอนนี้ไม่ใช่แล้วนะ ต้องกรอกเอกสาร(ผ่าน internet)ก่อน
แล้วก็ปริ๊นออกมา แล้วเอาไปยื่นพร้อมกับเอกสารอื่นๆ ในวันสัมภาษณ์
ข้อดีก็คือไปทีเดียว ข้อเสียก็คือ…. มันโคตรยุ่ง -*-

.

.

.

เริ่มกันที่ตรงไหนดี… ?
ก็ต้องเริ่มกันที่การกรอกเอกสารสินะ ^^”
ก่อนจะกรอกเอกสาร ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า เตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนนะคะ
เอกสารทุกอย่างที่มีต้องวางเรียงไว้ข้างหน้า พร้อมหยิบใช้ในทันที!!  (ทำเสียงตื่นเต้นประกอบ…!!)
นี่ไม่ได้ขู่นะคะ… *ยิ้มหวาน*
ที่บอกว่าต้องเตรียมให้พร้อมเพราะว่า ไอ้เจ้าเวปที่กรอกนี่มันติงต๊องค่ะ
มันจำกัดเวลาเราด้วย ว่าอยู่ในระบบได้นานแค่ไหน  เหมือนเล่นเกมเนอะ….แต่ไม่สนุกเลย -*-


หน้าจอมรณะ -*- เกลียดสุดๆ

หน้าจอเจ้ากรรมนี้ จะขึ้นมาเมื่อเราใช้เวลากรอกแต่ละหน้านานเกินไปค่ะ
มันขึ้นแล้วทำไงต่อ?… ง่ายนิดเดียว กรอกใหม่ค่ะ 55555+
แล้วขอบอกว่า มัน-เยอะ-และ-ยุ่ง-มาก(กกกกกกก)

.

.

.

เอกสาร/ข้อมูลที่จะต้องมี (สำหรับวีซ่า F1 หรือวีซ่านักเรียน)

• ข้อมูลส่วนตัว (ไม่ต้องวางก็รู้กันอยู่แล้วมั๊งอันนี้ 555+)
• พาสปอร์ต (เลขพาสปอร์ต, วันออก, วันหมดอายุ)
• ข้อมูลส่วนตัวของพ่อแม่ และสปอนเซอร์ (ชื่อ-นามสกุล, วันเดือนปีเกิด, สถานที่เกิด)
• ข้อมูลของบริษัทที่เคยทำงานมา (ชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทร, ตำแหน่ง, เงินเดือน, วันเริ่มงาน, วันลาออก)
• ข้อมูลเพื่อนที่อยู่ในประเทศไทย 2 คน (ชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทร, อีเมลล์)
• เลข SEVIS … ต้องจ่ายเงินค่า SEVIS ก่อนกรอกนะจ๊ะ
• เลข I-20 … นั่นแปลว่าจะต้องได้รับเอกสารก่อนถึงจะกรอกได้

แล้วก็ต้องมีรูป(เป็นไฟล์) ขนาด 2นิ้วx2นิ้ว แบบขอวีซ่าอเมริกา
(อย่าลืมว่ามันไม่เหมือนชาวบ้านนะ = =’) เตรียมพร้อมเอาไว้ด้วยนะคะ
1. รูปถ่ายต้องถ่ายมาไม่เกิน 6 เดือน
2. รูปถ่ายต้องมีขนาด 2×2 นิ้ว (5×5 ซ.ม.)
3. รูปถ่ายช่วงศีรษะของผู้สมัครต้องมีขนาดระหว่าง 1 นิ้ว ถึง 1 3/8 นิ้ว (2.5 ถึง 3.5 ซ.ม.) เมื่อวัด
ในแนวตั้ง
4. พื้นหลังรูปถ่ายต้องเป็นสีอ่อนเรียบๆ เป็นภาพถ่ายใบหน้าตรงและผู้สมัครมองตรงที่กล้อง

.

.

.

เอาเอกสารวางแผ่ไว้เลยค่ะ
แล้วก็เข้าไปกรอกได้ที่ ► https://ceac.state.gov/genniv/
ค่อยๆอ่าน ค่อยๆกรอกไป ไม่ยากหรอกค่ะ *ยิ้มให้กำลังใจ*
แนะนำว่าให้ทำไปเซฟไป ลำบากนิดหน่อยตอนเซฟ แต่ก็ดีกว่า time out แล้วต้องกรอกใหม่ทั้งหมดเนอะ ^^
(รอบแรกๆก็ยังสนุกอยู่หรอก แต่รอบ 3 นี่ก็เริ่มไม่ไหวละ -*-)

ตอนแรกคิดว่าจะแคปมาทำ how to ทีละหน้าเลย
แต่ว่าพอดีว่าไปเจอ “คู่มือ” ที่ทางสถานฑูตเค้าอำนวยความสะดวกให้
ประกอบกับมีคนทำบลอค how to ขอวีซ่าอเมริกาเยอะไปหมด
ขอละเอาไว้ละกันเนอะ ^^

ส่วนนี่ก็คู่มือที่ว่าค่ะ ► http://thai.bangkok.usembassy.gov/root/pdfs/ds_160_step_by_step_guide_thai.pdf

.

.

.

ข้ามมาเรื่องต่อไปกันเลยดีกว่า… ^^
หลังจากที่กรอกเอกสารที่เรียกว่า D-160 นี่เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็จะได้ใบคอนเฟริ์ม (แสดงให้เห็นทางหน้าจอกับส่งเข้าเมลล์) ให้ปริ๊นออกมา

หน้าที่ต่อจากนั้น ก็คือการไปจองวันสัมภาษณ์วีซ่าค่ะ
พี่ที่เอเจนท์บอกลูลิว่า “ถ้าไม่ได้วันที่ต้องการอย่าเพิ่งจอง วันมันจะแอบโผล่ขึ้นมาเอง”
ลูลิก็เชื่อฟัง นั่งรีเฟรชหน้าจออยู่เป็นอาทิตย์ (ยังไงก็ต้องรอ offer letter จากมหาลัยด้วย เลยไม่รีบ = =)
วันที่ต้องการก็ยังไม่โผล่ เต็มรวดยาวไปถึงเดือนสิงหาโน่น

เอาล่ะสิ = =’ เมื่อวันใกล้เข้ามา วันของเดือนกรกฎาคมก็เต็มไปจนหมด
เปิดมาเจอมันส้มหมดจอนี่กรี๊ดสนั่นอ่ะค่ะ = =’ (สีส้ม=เต็ม)
นาทีนั้นก็เลยตัดสินใจกดจองวันที่เร็วที่สุดไป
นั่นก็คือวันที่ 3 สิงหาคม….
กระชั้นมาก ใกล้มาก ใกล้วันบินเกินไปจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง T^T

ปรึกษากับทางเอเจนท์ เอเจนท์ก็ยังยืนยันคำเดิมว่ามันจะโผล่ขึ้นมาแบบไม่รู้ตัวจริงๆ
แต่นาทีนี้ ลูลิเสี่ยงไม่ได้แล้วค่ะ
ก็เลยทำใจ เลยตามเลย วันที่ 3 ก็ 3
แต่อยู่บนพื้นฐานเดียวคือ วีซ่าต้องผ่านเท่านั้น!!

วิธีจองก็สุดง่าย (ยากแค่ตรงทำใจ T^T) เหมือนจองตั๋วคอนเสิร์ตยังไงยังงั้น ><
มันจะมีวันที่เป็นปฎิทินให้เลือก พอกดวัน แถบข้างๆก็จะโผล่ขึ้นมาว่ามีเวลาไหนบ้าง
เรากดเลือก ก็เป็นอันเสร็จ!!
ง่ายมากใช่มั๊ยคะ…. แต่พอเราเลือกเสร็จ มันจะมีคำเตือนโผล่ขึ้นมาแดงเถือกให้อกสั่นขวัญแขวนเล่น
ใจความคือ “แน่ใจแล้วนะที่จะบุควันนี้ คุณเปลี่ยนได้ 2 หน
แต่.. เปลี่ยนแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะบุคได้นะ เพราะฉะนั้นก็คิดดีๆก่อนเปลี่ยนด้วย”
จะเตือนหรือจะขู่…. เอาให้แน่ = =’

หลังจากคอนเฟิร์มไปเรียบร้อยแล้ว
ก็จะมีเมลล์ส่งเข้ามายืนยันค่ะ แสดงวันและเวลานัด พร้อมคำเตือนแดงเถือก(อะเกน) ติดมาด้วย

.

.

.

หลังจากที่บุควันได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่ต้องทำต่อไป ก็คือการไปจ่ายเงินค่าวีซ่าค่ะ

เราสามารถจ่ายเงินค่าวีซ่าได้ที่ไปรษณีย์ทั่วประเทศเลย
เดินไปที่เคาท์เตอร์ บอกพนักงานว่าจ่ายค่าวีซ่าอเมริกา
พนักงานก็จะยื่นใบสีฟ้าๆมาให้ เราก็กรอกซะ แต่ไม่ต้องเขียนจำนวนเงิน

จากนั้นก็เอากลับมายื่นที่เคาท์เตอร์ เค้าก็จะถามว่าวีซ่าอะไร
ก็ตอบไปว่า “F1 ค่ะ” เค้าก็จะประมวลผลเงิน US ตามราคาวีซ่าที่เราเลือก
(กรณีของลูลิ คือ $140 ประมาณ 4พันกว่าบาท)

เสร็จแล้วเค้าก็จะประทับตราไปรษณีย์ลงตรงช่องกลมๆ
แล้วก็แมกซ์ใบเสร็จติดกับใบฟ้านี่ แล้วส่งคืนให้เรา (หลังจากส่งเงินไปแล้วนะ 555+)
ค่าวีซ่าถือเป็นขายขาดนะคะ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วก็ขอคืนไม่ได้
ไม่ว่าวีซ่าจะผ่านหรือไม่ก็ตาม ^^

.

.

.

เอาล่ะ ทีนี้ก็ถือว่าเรียบร้อย สำหรับการเตรียมตัวขอวีซ่าแล้วล่ะค่ะ
ลูลิกลับไปเช็คเอกสารอีกทีดีกว่า ว่ายังเหลืออะไรที่เตรียมไม่เรียบร้อยบ้าง
แล้ววันที่ 3 เป็นยังไง จะมาเล่าให้ฟังใหม่น๊า ><

ขอให้(ตัวเอง)โชคดี ^^
End.

 

► ยื่นเรื่องเข้ามหาลัย,, ทำไม(คนส่วนใหญ่)ต้องใช้เอเจนท์? July 20, 2010

,, เคยไปอ่านกระทู้ที่เค้าถกกันในพันทิพย์ ว่าจำเป็นแค่ไหนกับการใช้เอเจนท์
บางคนก็บอกว่า เราจะไปเรียนเมืองนอกทั้งที หัดติดต่อเองบ้างอะไรบ้างก็จะดี
บางคนก็บอกว่า ในเมื่อเค้าดำเนินการให้ฟรี แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ใช้
บางคนก็บอกว่า การพึ่งแต่คนอื่นมากเกินไป จะทำให้เราพลาดโอกาสบางอย่างไป
บางคนก็บอกว่า การทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด ก็ไม่ใช่สิ่งพิสูจน์ว่าเราเก่งจริง

เถียงกันไปนั่น… ต่างคนก็ต่างมีเหตุผลของตัวเอง
ซึ่งไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิดหรอกค่ะ.. มันก็แค่มองกันคนละมุมเท่านั้น
ส่วนตัวลูลิ.. ลูลิก็เป็นคนนึงที่เลือกใช้บริการของเอเจนท์
อาจจะด้วยว่า “ลูลิไม่รู้อะไรเลย” แล้วก็ “ขี้เกียจจะไขว่คว้า”
อย่างที่บอกว่าลูลิเริ่มต้นช้ามาก ทำให้เหมือนทุกอย่างต้องลงตัวในระยะเวลาที่ค่อนข้างจำกัด
การที่จะเริ่มต้นค้นคว้าทุกอย่างตั้งแต่ 0  มันก็แลดูหนทางยาวไกลจนท้อ..
ทางเลือกนึงที่เหมาะสมในตอนนั้น ก็คือ “เอเจนท์”

ลูลิเข้าไปปรึกษาเอเจนท์หลายที่มากๆ เพราะอยากได้ข้อมูลมาตัดสินใจ
ข้อดีของการปรึกษาเอเจนท์คือ ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ที่รู้มากกว่าเราอยู่
เพราะฉะนั้น เราก็สามารถที่จะถามรายละเอียดต่างๆได้
เอกสารต่างๆเค้าก็สามารถหาให้เราได้
และที่เวิร์คมากคือ เค้าจัดการเรื่องเอกสารให้เราฟรีๆด้วยซ้ำ
ถ้าสมัครเอง อย่างนึงที่ต้องเสียแน่นอน ก็คือค่าส่งเอกสารไปยังมหาวิทยาลัย
โอเค.. มันไม่กี่ตังหรอก แต่ได้ฟรี แถมมีคนทำให้มันก็สบายดี ^^

แต่.. เอเจนท์ก็ไม่ได้ดีไปซะหมดทุกที่ ทุกเรื่องหรอกค่ะ
ข้อเสียของการปรึษาเอเจนท์ในขณะที่เรายังไม่รู้อะไรเลย
ก็คือ เราจะโดนชักจูงได้ง่าย!!
น่าแปลกที่เอเจนท์ในไทย จะพยายามบิ๊วให้เราไปออสเตรเลียให้ได้
ไม่ใช่ว่าออสไม่ดี แต่ลูลิจะไปอเมกา.. ในเมืองมีเป้าหมายที่อเมริกา จะมานำเสนอออสเพื่อ??!?
6 ใน 10 ที่ เป็นอย่างนั้น.. ซึ่งขอบอกตรงๆว่า เซ็ง!!!

เพราะฉะนั้นก่อนที่จะ walk เข้าไปคุยกับเอเจนท์ที่ไหน
ลองแอบดูเวปเค้าซะหน่อยว่าเค้าเมนประเทศอะไร จะได้ไม่เอะอะก็ “ไปออสสิ” แบบที่ลูลิเจอ ^^

ลูลิเลือกติดต่อกับเอเจนท์ที่มีสำนักงานย่านสยามสแควร์
แรกเริ่มเดิมทีก็เพราะว่าเรียน Wall street ที่นั่น ก็เลยแวะลงไปซะหน่อย
แต่พอไปบ่อยๆ ก็เลยรู้สึกว่า เออ.. ที่นี่ก็พูดจาเป็นเรื่องเป็นราวกว่าที่อื่นล่ะเนอะ
(ที่สำคัญคือ พยายามหามหาลัยในอเมริกาให้ ไม่บิ๊วให้ไปออส!!)
สุดท้ายเลยตกร่องปล่องชิ้นกับที่นี่ซะงั้น ^^

ตอนแรกเลยลูลิก็อยากเข้ามหาวิทยาลัย TOP เหมือนกับทุกคนนั่นแหละ
แต่ด้วยคะแนน TOEFL สะบะกึ๊ย ที่ทำเท่าไหร่ก็ ไม่กระเตื้องซักที..ทำเอาหมดกำลังใจ
ก็เลยปรึษาทางเอเจนท์ว่า “มีมหาลัยไหน waive TOEFLได้มั่งมั๊ยคะพี่”
แล้วคุณพี่ก็จัดให้..  ลองมหาลัยนี้มั๊ย คนไทยไม่เยอะ แคมปัสสวย อยู่ในโซนคนขาว เป็นเขตอาชญากรรมต่ำ
เออฟังดูดีเนอะ….  ชักน่าสนใจ
“เดี๋ยวอาทิตย์หน้า professor เค้าจะเข้ามา ลองมาคุยกับเค้าสิ” พี่เค้าว่างั้น
ไม่ได้บังคับ แต่เป็นการเสนอทางเลือกให้หนึ่งทาง

ซึ่งหลังจากนั้นลูลิก็มาพบ professor ตามที่นัดไว้นั่นแหละ
เอา Resume กับ Transcript ให้เค้าดู เค้าก็บอกว่า เกรดระดับนี้สามารถ waive G-MAT ได้
ส่วน TOEFL ก็ให้เรียนภาษากับทาง ELS (โรงเรียนภาษาที่ co กัน) ถึงระดับสูงสุดก็ waive ได้เหมือนกัน
อะหือ… ฟังแล้วมีความหวังขึ้นมาในบัดดล!!!
ก็เลยตั้งเป้าเอาไว้ว่า เดี๋ยวจะลองสมัครไอ้มหาลัยที่อยากได้ก่อน แล้วถ้าไม่ได้ก็อันนี้ล่ะวะ!!!

พอตัดสินใจแบบนั้นได้ ก็ถือว่าเริ่มเดินหน้าได้ซะที  เน๊าะ^^

.

.

การที่จะทำวีซ่านักเรียนของอเมริกานั้น จะต้องมีใบรับรองจากสถาบันที่เรียกว่า I-20 ก่อนค่ะ
แต่เพราะมหาลัยยังไม่ได้รับลูลิอ่ะ ก็เลยไม่สามารถออก I-20 ให้ได้
ก็ต้องตกเป็นหน้าที่ของโรงเรียนภาษาล่ะ

เริ่มต้นเลย ก็คือการติดต่อสมัครเข้าโรงเรียนสอนภาษา
เคสของลูลิยุ่งยากนิดหน่อย เพราะว่าจะไปอยู่กับอาเดือนนึงก่อน แล้วย้ายไป ELS
ทำให้ทั้งหมดทั้งปวง ลูลิต้องย้ายโรงเรียนตั้ง 3 ที่แหน่ะ *=3=

ที่แรกที่จะสมัครคือโรงเรียนสอนภาษาใกล้บ้านอา
ตั้งอยู่ในเขตมหาวิทยาลัยของ Whittier University
ขับรถไปจากบ้านอาใช้เวลา 17 นาที (แต่นั่งรถเมล์ 1ชั่วโมงครึ่ง -*-)
ทางเอเจนท์ก็ให้ลูลิกรอกใบสมัคร (มีเจ้าหน้าที่นั่งประกบตอนกรอกด้วย กันโง่ 555+)
แล้วก็เอาใบรับรองทางการเงินของพ่อ (Bank letter) / Transcript แล้วก็สำเนาพาสปอร์ตส่งไป

สำหรับงานนี้ เสียค่าสมัคร(ให้โรงเรียนสอนภาษา)ไป 50$
ที่อเมริกา ไม่ว่าเราจะสมัครอะไร มันก็คิดตังเราหมดอ่ะค่ะ
จริงๆแค่สมัคร ไมต้องแพงขนาดนี้ด้วย T^T .. คิดในแง่ดีก็เป็นค่าส่งเอกสารกลับมาให้เราละกัน -*-
จากนั้นก็รอ… ร๊อออ… รอ ประมาณ 2 อาทิตย์กว่าๆ
โรงเรียนสอนภาษาก็ส่งใบ I-20 มาถึง (นานดี -*-)

หลังจากนั้นลูลิก็หอบเอกสารทั้งหมดไปที่เอเจนท์อีกที เพื่อทำการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย
1. ใบสมัครมหาวิทยาลัย
2. Transcript
3. ใบรับรองวุฒิ / ใบจบ
4. Recommend letter 3 ฉบับ
5. Statement of Purpose
6. Bank letter (เอกสารรับรองทางด้านการเงิน)
7. Passport
8. TOEFL (ถ้ามี)
9. GMAT (ถ้ามี)

ขั้นตอนก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ก็คือนั่งกรอกใบสมัคร (ที่มีพี่พนักงานมานั่งประกบกันโง่อะเกน)
แล้วทางเอเจนท์ก็จะเอาเอกสารไปซีรอกซ์ สแกน เอง
สุดท้ายก็จะมานั่งจัดชุดให้เรา ว่าเอกสารชุดไหน จะใช้ทำอะไรตอนไหน

มาส่งเอกสารอย่างเดียวก็เปลืองค่าน้ำมันแย่
ก็เลยให้ทางเอเจนท์ช่วยแนะนำเรื่องการขอวีซ่าไปด้วยซะเลย
(อันนี้วุ่นวายมาก ว่ากันในเอนทรี่หน้าละกันเนอะ =3=)

.

.

ในช่วงที่รอ ระหว่างการรอผลตอบรับจากทางมหาวิทยาลัย
ทางเอเจนท์จะ fww เมลล์มาให้อ่านอยู่เรื่อยๆ ว่าเค้าคุยกับทางมหาลัยว่ายังไงบ้าง
บางทีไม่รุ้ส่งมาทำไมหรอก แต่ก็รู้สึกอุ่นใจว่าเค้าตามเรื่องให้เราอยู่นะ อะไรอย่างนั้น

สรุปว่าจนส่งเอกสารเรียบร้อย ลูลิก็ยังไม่หายเอ๋อ..
เอ่อ.. เรียบร้อยแล้วเหรอ เหมือนว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลยง่ะ -*-
นี่แหละมั๊ง ที่คนในพันทิพย์เค้าถึงบอกว่า “ทำให้พลาดโอกาสอะไรหลายๆอย่างไป”
แต่สำหรับลูลิ โอกาสเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะในอนาคตข้างหน้า ลูลิยังมีโอกาสที่จะได้สมัครอะไรด้วยตัวเองอีกเยอะแยะ
ถ้ามันสำคัญจริงๆ โอกาสหน้าค่อยลองก็ยังไม่สายหรอกเนอะ ^^

ยังไงซะก็ไม่ต้องเชื่อเอเจนท์ทุกอย่างหรอกนะคะ
คิดซะว่า พวกเค้าคือที่ปรึกษา แต่ว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อ
เก็บข้อมูลเอาไว้ มันมีประโยชน์!! ล้วที่เหลือเราจะทำยังไงต่อไป มันอยู่ที่ตัวเรา

เอาเป็นว่าขอให้เจอเอเจนท์ที่ดีๆกันทุกคนเด้อ ♥

End.

.

.

ปล.ขอบคุณพี่หลิน Prointered ค่ะ ^^

 

► สุดแรงเค้น,, กว่าจะออกมาเป็น SOP (Statement of purpose) July 13, 2010

,, SOP นั้นสำคัญไฉน….?
ทำไมใครๆก็มีปัญหากับ SOP? ทำไมถึงใช้เวลาน๊านนานในการเขียน?
ทำไมต้องเขียนให้ถูกเป๊ะๆด้วยล่ะ? เขียนดีแล้วไง? เขียนแย่แล้วไง? มีผลอะไรกับชีวิต..?
คำถามที่หลายๆคนสงสัย ลูลิเองก็สงสัย (แต่ก็ไม่ได้ใคร่จะหาคำตอบซักเท่าไหร่ 555+)

เอาเป็นว่า SOP ที่ย่อมาจากคำว่า Statement of purpose
แปลได้ตรงตัวเป๊ะๆค่ะ “คำกล่าวซึ่งแสดงถึงจุดประสงค์ของเรา”
กระดาษแผ่นเดียวแผ่นนี้ เป็นคล้ายๆกับการแนะนำตัวเราต่อมหาวิทยาลัยค่ะ
เพราะเค้าไม่รู้จักเรา แต่ทำเป็นต้องทำความรู้จัก
ไอ้ครั้นจะมานั่งคุยกับผู้สมัครทีละคนนั่นก็ไม่ใช่เรื่อง ใช่มั๊ยล่ะคะ
ก็เลยต้องใช้วิธีเขียนเล่าสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่อยู่ในใจเรา เอาไปให้เค้าอ่านแบบนี้
(“เค้า” ในที่นี้ หมายถึงผู้มีอำนาจในการรับเราเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเชียวนะคะ)

ในบางมหาวิทยาลัยจะกำหนดหัวข้อ หรือคำถามมาให้ เราก็มีหน้าที่เขียนตอบไปในหัวข้อนั้นๆ
(มันคือการป้องกันการก๊อบปี้ส่งหลายๆมหาลัยใช่มั๊ยนั่น = =’)
ส่วนบางมหาวิทยาลัยก็จะไม่ได้กำหนดอะไรมา อยากเขียนอะไรก็เขียนไปเถอะ!!
ซึ่งหลายต่อหลายคนค่อนข้างที่จะเครียดกับ SOP อยู่พอสมควร
อาจจะเพราะว่าได้ฟังมาเยอะ ถึงความสำคัญของ SOP

ถ้าหากว่าจะเข้าต่อมหาวิทยาลัยชื่อดัง SOP ก็อาจจะต้องเขียนหรูเริ่ดซักหน่อยล่ะค่ะ
ก็อย่างที่บอก ว่ามันแสดงถึงตัวตนของเรา  มันแสดงออกว่าเราเป็นคนยังไง
มีทัศนคติกับวิชาที่จะเรียนยังไง เรียนจบแล้วจะเอาความรู้นี้ไปทำอะไรต่อไป
ถ้าหากว่าเค้ามองว่า เรา“ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ” จากการเขียนก็คงแย่

.

.

carlendar4

.

.

สำหรับลูลิ จริงๆก็ตั้งท่าจะเขียนมาตั้งนานแล้วล่ะนะ
แต่ก็ด้วยข้ออ้างที่ว่า “ไม่รู้จะเริ่มยังไง” มันทำให้ไม่เริ่มซักที
จนเหลือเวลาอีกเพียงน้อยนิด แบบว่าไฟลนตูดนั่นแหละค่ะ ถึงจะง้างนิ้วให้จับปากกาขึ้นมาเขียนได้

► เริ่มต้นลงมือร่างข้อมูลที่จำเป็น

จริงๆแล้วอย่างที่บอกว่า SOP มันก็คือการแสดงความเป็นตัวเรา
เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดอะไรมาก,,  ลงมือร่างได้เลยค่ะ ภาษาไทยก่อนนี่แหละ

ร่างออกมาก่อนว่า..
-เราเป็นคนยังไง
-มี Background มาแบบไหน (เอา resume มาวางประกอบด้วยก็ได้ค่ะ)
-มีความสนใจอะไรเป็นพิเศษ
-ประสบความสำเร็จอะไรมาบ้าง
-อยากไปเรียนเพราะอะไร
-มีการเตรียมตัวสำหรับเรียนสาขานี้ยังไงบ้าง
-ในอนาคตอยากจะทำอะไร
-จะใช้ความรู้ที่เรียนจากที่นี่ทำอะไร
-ทำไมถึงอยากจะเรียนที่นี่ (มีหลักสูตรพิสดารพันลึกที่ที่อื่นไม่มี อะไรก็ว่าไป~)

► จับข้อมูลมาแต่งเรียงความ

หลังจากที่ได้ข้อมูลของตัวเรา เค้นออกมาให้พอเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
ทีนี้ก็ต้องมานั่งคิดก่อนค่ะ ว่าเราจะเขียนยังไง

เริ่มแรกก็คือการจัดวางลำดับการเล่าเรื่อง…!!
แต่ไอ้ที่เล่าว่าเมื่อก่อนทำอะไร โตมาทำอะไร แล้วจะทำอะไรต่อไปในอนาคตน่ะ เชยไปแล้วนะคะ
มันก็เหมือนกับอ่านภาษาไทยนั่นล่ะค่ะ เล่าเรื่องเอื่อยเฉื่อย แล้วจะมีใครอยากติดตามตอนต่อไปล่ะ จริงมั๊ย?
ต้องหาอะไรที่มันเร้าใจกระตุ้นความสนใจของคนอ่าน ซึ่งเป็นคณะกรรมการบ้าง!!
เช่น.. พาดหัวแรงๆ (วิญญาณนักข่าวเข้าสิงในบัดดล)
“ฉันไม่เห็นด้วยกับการศึกษาในสมัยนี้” รับรองว่ากรรมการต้องสนใจอ่านต่อแหงมๆ (ยิ้มหวาน)

พอจบขั้นตอนนี้ เราก็จะได้ Outline คร่าวๆ พอให้มองเห็นภาพแล้ว
ขั้นตอนถัดไป ก็คือการลงรายละเอียดให้เห็นภาพชัดมากยิ่งขึ้น

► หาส่วนขยายมาบรรยายรายลงลึกถึงรายละเอียด

การใส่ส่วนขยาย ไม่ใช่การเพิ่มปริมาณคำให้ประโยคมันยาวๆนะคะ
ถ้าหากว่าเขียนแล้วมีแต่น้ำ กรรมการก็อาจจะขี้เกียจอ่านเช่นกัน -*-
เพราะฉะนั้น จำเอาไว้เลยว่า “ขอแต่เนื้อๆ ชัดๆ”

การอธิยายรายละเอียดเป็นวิธีนึงค่ะ ที่จะทำให้คนอ่าน เห็นภาพตามอย่างที่เราหวังจะให้เห็น
การมีตัวอย่างประกอบ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้คนอ่านวาดภาพตามได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

แล้วก็ต้องระลึกเอาไว้เสมอว่า อย่าพูดอะไรลอยๆ ต้องมีที่มาที่ไปเสมอ!!
อย่างเช่น “ฉันได้รับรางวัลเป่าขลุ่ยดีเด่น” แล้วจบ
กรรมการจะงงว่า “บอกทำไมวะ?”
การเขียน SOP ที่ดี จะต้องสามารถชี้ให้คนอ่านเข้าใจได้ว่า
ประสบการณ์ด้านนั้นๆของเรามีความหมายกับเรายังไง
เช่น “ฉันได้รับรางวัลเปล่าขลุ่ยดีเด่น ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าฉันมีความสามารถทางดนตรี
ซึ่งหากได้เข้าเรียนต่อในคณะที่มีความเพียบพร้อมจะทำให้ฉันสามารถพัฒนาศักยภาพที่มีให้ดีขึ้นไปอีกได้”
อะไรก็ว่ากันไป……..

► แปลภาษาเรา ให้เป็นภาษาเขา

ขั้นตอนสุดหินของปุถุชนคนไทยทั้งหลายทั้งมวลค่ะ
อันนี้ก็ต้องขึ้นกับความสามารถของแต่ละบุคคลแล้วนะคะ ^^*
แต่สิ่งที่อยากแนะนำก็คือ อย่าได้แปลตรงตัวเป๊ะๆ

ลูลิเองก็ประสบปัญหาแบบนี้มาเหมือนกัน
เวลาเราคิดภาษาไทย มันจะทำให้เรายึดติดโดยที่ไม่รู้ตัว คำขยายขาดไปตัวนึง
อุ๊ยไม่ได้อ่ะ นี่เราแปลแล้วความหมายไม่ครบรึเปล่า มันไม่ใช่ อ๊ายยย รับไม่ได้!!
อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นอย่างนั้นค่ะ
การแปลที่ดี ก็คือการเก็บใจความหลักเอาไว้ให้ครบ แต่ไม่จำเป็นต้องครบทุกตัวอักษร
“Very super ultra cute” ยังแปลไทยออกมาได้ว่า “โคตรน่ารัก” เฉยๆเลยชิมิ ^^

แปลเสร็จแล้วอย่าลืมอ่านทวนว่าความหมายมันได้อย่างที่เราต้องการจะสื่อรึเปล่าด้วยนะคะ

► หา Native speaker มาช่วยตรวจสอบ

ทำไมต้อง native speaker…? ก็เพราะว่าเค้าเป็นเจ้าของภาษาน่ะสิ!!
เค้าจะสามารถช่วยเราเชคได้ ไม่ใช่เรื่อง Grammar อย่างเดียว
แต่ว่าคำนึง มันแปลได้หลายความหมายใช่มั๊ยล่ะคะ
บางทีคนไทยพูดแบบนี้แปลว่าถูก แต่ฝรั่งเค้าไม่ใช่แบบนั้นก็มีค่ะ -*-

ตอนลูลิเขียนเสร็จ ก็เอาไปให้พ่อช่วยดูด้านความหมายก่อนเลยว่าเขียนประมาณนี้เสร่อมั๊ย
พอแก้กันไปรอบนึง ก็เอาไปให้ลูกน้องพ่อ ที่เป็นเจ้าหน้าที่ด้านภาษาโดยตรงตรวจให้อีก
ผลปรากฎว่าโดนแก้ยับ………. = =’  (ขนาดมั่นใจนะเนี่ย T^T)
คุณอาบอกว่า “น้องเขียนสำนวนไท๊ยยยยย ไทยค่ะท่าน!!”
จ๋อยสิคะ!!

เอามาแก้แล้วก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
ก็เลยเอาไปให้อาจารย์ฝรั่งที่ Wall street เชคให้อีกที
(เพิ่งรู้สึกว่าเรียน Wall street ก็ดีตรงเนี๊ยะ 55555+)
ผมปรากฎว่าแก้ยับอะเกน!! -*-
สุดท้ายแล้วก็แก้ส่ง แก้ส่งอยู่อีก 3 รอบ
ซึ่งก็ยังต้องแก้ต่อไปเรื่อยๆไม่หยุดไม่ยั้ง ที่กระดาษจะมีโน๊ตติดเอาไว้เสมอว่า
“Turn it back again, If you like.”

ใจก็อยากจะแก้ไปเรื่อยๆเหมือนกันค่ะ
แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านเวลา ที่มันล่วงเลยมานานแสนนานแล้ว
ก็เลยต้องตัดใจ “เอาวะ!! ต้องยื่นเรื่องแล้ว!!”

*ข้อควรระวัง* ในการให้คนอื่นเชค Essay ของเรา
คือเค้าอาจจะไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เราต้องการสื่อไปซะทั้งหมด
เพราะครั้งหลังๆที่ให้อาจารย์ฝรั่งตรวจให้ เค้าแก้จนเรื่องมันเปลี่ยนไปจากที่เราตั้งใจไว้ตอนแรกมาก
ทางที่ดีต้องคอยอธิบายกับเค้าว่าเราอยากจะเขียนแบบนี้เพราะอะไร
ถ้าหากว่ามันผิด จะแก้ยังไงให้ถูก…
อย่าปล่อยตามน้ำให้เค้าแก้จนมันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจะสื่อนะคะ ^^

► เก็บใส่ซอง แล้วออกลุย ^^

เสร็จเรียบร้อย ก็พิมพ์ จัดหน้าอย่างสวยงาม ปริ๊น แล้วก็เอามันไปรวมกับเอกสารอื่นๆรอยื่นได้เลยจ้า

.

.

ทีนี้ก็เสร็จไปอีก 1 เปาะ ต้องรีบไปยื่นเอกสารแล้วล่ะ
เพราะเขียน SOP แถมแก้ไปแก้มา กินเวลาเกิน Schedule มาเป็นอาทิตย์เลยเนี่ย T^T
เอาล่ะ พร้อมแล้ว……. ขอพลังจงอยู่คู่กับเรา ><!

End.

.

.

PS* สามารถ Search หาตัวอย่าง SOP ได้ใน google ค่ะ มีเพียบเลย รวมทั้งเทคนิกการเขียนด้วย
แต่ของลูลิ ขออนุญาตไม่เปิดเผยนะ เดี๋ยวจะมีคนบอกว่าไม่ได้ทำตามที่เขียนมาเลยซักข้อ!! 555+

 

► Recommend letter & Transcript นั้น ท่านได้แต่ใดมา July 11, 2010

,, ห่างหายจากการอัพไปนานแสนนาน เพราะมัวแต่ออกไปซื้อข้าวของเตรียมตัวบิน
แต่ไม่ใช่ลูลิหรอกค่ะที่บิน คุณน้องสาวเค้าตัดช่องน้อยแต่พอตัว ขออาสาบินไปก่อน
ซื้อของไปน้ำตาซึมไป……………. (ไม่ใช่อะไร เสียดายเงิน = =’)

วันนี้น้องสาวก็บินไปแระ อยู่คนเดียวก็ฟุ้งซ่านมานั่งเขียนบลอคดีกว่า
(ด้วยหวังว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ 55555+)

.

.

Photobucket

หลังจากที่ไปทำพาสปอร์ตเล่มใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ปราการด่านต่อไป ก็คือเอกสารสำคัญทางการศึกษา 3 อย่าง
นั่นก็คือ Transcript, ใบจบ แล้วก็ Recommend letter จากอาจารย์ 2 ฉบับค่ะ

สำหรับมหาลัยในอเมริกาต้องใช้ recommend letter ทั้งหมด 3 ฉบับค่ะ
โดยมากแล้วก็จะขอจากอาจารย์ 2 ฉบับ แล้วก็จากที่ทำงาน 1 ฉบับ
แต่ก็เคยมีหลายคนบอกนะว่า ไม่จำเป็นต้องแบบนี้ก็ได้
บางคนก็ใช้จดหมายฉบับที่ 3 จากหุ้นส่วน จากเพื่อน หรือบางคนจากลูกค้าก็มี
ส่วนมหาลัยของอังกฤษ สบายกว่านิดนึง คือขอ 2 เท่านั้นพอ ^^
ในเคสของลูลิต้องใช้จดหมายทั้งหมด 3 ฉบับ และที่แพลนเอาไว้ก็คือจากอาจารย์ 2 เจ้านายอีก 1

.

.

► Recommend letter จากมหาวิทยาลัย

ตอนแรกที่ไปขอ ก็ไปแบบหน้าซื่อๆ.. เดินดุ่มๆเข้าไปที่ห้องพักอาจารย์
จารย์ขา.. หนูมาขอ recommend ค่ะ” หน้าซื่อตาแป๋วบอกอาจารย์ไปอย่างนั้น
อาจารย์ก็มองสำรวจ แล้วก็หัวเราะ “ชั้นว่าแระ ว่าต้องมาเรื่องนี้!!”
พอได้คุยนู่นนี่ ก็เลยรู้ว่า ออ… นี่มันฤดูขอ recommend นี่เอง คนวิ่งเข้าวิ่งออกกันให้วุ่น

สำหรับลูลิ ถือว่าค่อนข้างโชคดี ที่ถึงจะจบไปตั้ง 4 ปีแล้ว แต่อาจารย์ก็ยังคงจำวีรกรรมได้เป็นอย่างดี
ก็เลยไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวนานนัก ว่าหนูเป็นใคร มาจากไหน
เคยเรียนกับอาจารย์เมื่อไหร่ แล้วก็มีความประพฤติยังไง..
แต่.. ถึงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี แบบเห็นหน้าอ๋อ เห็นชื่ออ๋อ.. แต่อาจารย์ก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเราเท่าไหร่หรอกค่ะ
อาจารย์ก็เลยบอกว่า ให้ไปเขียนมา เล่าเรื่องตัวเองว่าทำอะไรในมหาลัย มีจุดมุ่งหมายอะไรถึงจะเรียนสาขานี้
จบแล้วจะทำอะไร เพราะว่าเปลี่ยนฟิลด์ที่เรียนแบบหน้ามือหลังมือแบบนี้ (สถาปัตย์→บริหาร)
อาจารย์ก็เลยต้องการข้อมูลไปเขียนบิ๊วว่าเรามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าเรียนในคณะที่เราเลือก!!
แหม.. อาจารย์ก็ช่วยส่งอย่างสุดแรงจริงๆ ขอบคุณนะคะ ♥

ตอนที่ลูลิไปขอจดหมายจากอาจารย์ ครั้งแรกเลยก็ไปมือเปล่าเหมือนกัน
แต่พอได้คุยกับอาจารย์เลยรู้สึกว่า ตัวเองก็ติงต๊องเหมือนกันนะที่คิดว่าเค้าจะจำเรื่องของเราได้หมด
เพราะฉะนั้น เวลาไปขอ recommend letter ก็ควรจะแนบเอกสารที่ทำให้อาจารย์มีข้อมูลที่จะเขียนถึงเราด้วย
– Transcript: จะได้รู้ประวัติการเรียนว่าเป็นยังไง
– CV หรือ resume: จะได้มองภาพรวมออกว่าเราเป็นคนแบบไหน
– เรียงความเล่าเรื่องตัวเองสั้นๆ: อยากเรียนเพราะอะไร มีแรงบันดาลใจอะไร มีธุรกิจหรืออะไร บลาๆๆ

หลังจากอาจารย์ตกลงเอาชื่อเสียงตัวเองค้ำประกันให้เราแล้ว
สิ่งที่ต้องทำต่อไป ก็คือ……. “รอ”
อันนี้ขอแนะนำว่า แพลนเวลาดีๆ ไปหาอาจารย์ (รวมถึงเจ้านาย) แต่เนิ่นๆ
เพราะว่าบางทีอาจารย์ก็งานเยอะม๊ากกกกกกกก ไม่มีเวลามาเขียนให้เราค่ะ
ในเคสของลูลิ ถือว่าโชคดีมาก (ทั้งๆที่เซิ่มเบ๊อะกว่าใครเพื่อน -*-)
เข้าใจ(เอาเอง)ว่า ขอแล้ว 3 วันมาเอาไว้เลย เหมือนอย่างขอ Transcript ><

แต่ไม่ใช่นะคะ อาจารย์ต้องใช้เวลาในการเขียน ในการศึกษาข้อมูลคณะที่เราจะไปต่อ
แล้วก็แน่นอนว่าต้องรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับตัวเราด้วย ^^
แล้วอาจารย์ที่ไปให้เขียนให้ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ใช่มั๊ยคะ
ก็แน่นอนว่า งานที่มหาลัยก็บานเบอะแทบล้มทับตายแน่ๆล่ะ

ลูลิทิ้งข้อมูลไว้ให้อาจารย์ แล้วก็ไม่ได้คุยกันว่าจะเอาเมื่อไหร่ (เพราะไม่กล้า)
1 อาทิตย์ผ่านไป ก็โผล่หน้าไป “อาจ๊านนนนนนน เขียนให้หนูยังคะ!!”
อาจารย์ถึงกับวี๊ด ไหนบอกเธอไม่รีบไง…!!
ก็ไม่รีบค่ะ แต่ถ้าเร็วได้ก็ดี แหะแหะ

ทั้งๆที่เป็นช่วงเพิ่งเปิดเทอม แต่อาจารย์ที่สุดแสนใจดีทั้งสอง
ก็รีบปั่นจดหมายมาให้ ทันยื่นไปมหาลัยที่เมกาจนได้ ^^
ถึงจะบีบคั้นอาจารย์ไปซักหน่อย แต่ก็ต้องขอบคุณมากๆเลยนะค๊า
แถมยังให้แอบเห็นอีกว่าอาจารย์เขียนถึงลูลิว่าอะไร
อวยกันขนาดนี้ มหาลัยไม่รับก็ให้มันรู้ไป!! 555555+

สรุปว่าลูลิใช้เวลาในการขอ Recommend letter จากอาจารย์ 2 ท่าน
ใช้เวลารวม 2 อาทิตย์ถ้วน (แบบว่าเร่งอาจารย์สุดชีวิต) ถือว่าโชคดีมากๆจริงๆ
หลังจากที่ได้จม.มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ไปนั่งคุยกับเพื่อนที่ไปขอเมื่อตอนต้นปี
มันบอกว่าเป็นเดือนก็ยังไม่ได้เลย เพราะว่าอาจารย์งานยุ่งมากๆ (อาจารย์คนเดียวกันนี่ล่ะ)
*ปาดเหงื่อ* เรานี่มันมากับดวงจริงๆน๊า 5555+

ปล.ไม่ได้มา’มหาลัยนานมาก มาแล้วรู้สึกเหมือนเป็นที่ที่ไม่รู้จักยังไงก็ไม่รู้ T^T
หน้าคณะใหม่ ลิฟท์ใหม่ หรูหราไฮโซววววว
กรี๊ดดดด เอาแหล่งเสื่อมโทรมของนู๋คืนมาาาาาาาาาาาาา~~

Photobucketหน้าคณะที่เมื่อก่อนเป็นกองขยะ.. ตอนนี้หรูหราจนนึกว่ามาผิดที่ -*-

Photobucket
ลิฟท์ที่ต้องเสียววูบวาบทุกทีเวลาขึ้น เปลี่ยนใหม่กว้างใหญ่และไฉไลอย่างบอกไม่ถูก

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…….. “เมื่อเราจบไป อะไรๆ มันก็ดีขึ้น T^T”

.

.

► Recommend letter จากบริษัท

ส่วนจดหมายจากเจ้านาย เจ้านายบอกว่า “เอ็งไปเขียนมาเอง แล้วก็เอามาให้เซ็นละกัน”
ไอ้เราก็ หือออออ… เขียนชมตัวเองนี่น่ะเหรอ โอ้ววววว ยากจังน๊า
แต่ในเมื่อเจ้านายไม่ยอมเขียนก็จะทำไงได้
ก็ต้องลงมือเขียนเองนี่ล่ะ!! (เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันเป็นเรื่องปกติ ใครๆเค้าก็ทำกัน = =)

ก่อนอื่นก็เซิชหาก่อน ว่า recommend letter นี่มันเขียนอะไรกันบ้าง
(ตอนแรกยังไม่ได้อ่านที่อาจารย์เขียนให้ เลยไม่มีไอเดียเลย)
เสร็จแล้วก็เอามาลอก!!!!
ตัด 2 ประโยคของคนนี้ แล้วก็ต่อด้วยอีก 2 ประโยคของคนนั้น
แล้วก็ปรุงแต่งความสามารถส่วนตัวของเราเพิ่มเข้าไปอีกหน่อย ก็เป็นอันเสร็จพิธี
โอ้ ง่ายดีแท้น๊อ ><

วันที่เอาไปให้เจ้านายเซ็น เจ้านายก็มอบอำนาจมาให้หัวหน้าตรวจให้ก่อน
(กลัวว่าอินี่มันจะเขียนชมตัวเองเวอร์)
แล้วก็แน่นอนว่าผ่านฉลุย (มีหัวเราะบ้างเล็กน้อย)
ก็ลูลิเขียนแต่เรื่องจริงนี่นา ส่วนข้อเสียอย่างเรื่องมาทำงานไม่เคยทันเลย!! ใครมันจะไปเขียนล่ะจริงมิ ^^

.

.

► Transcript และใบจบ

อย่างสุดท้ายสำหรับเอกสารทางการศึกษา ก็คือ Transcript กับใบจบ จากมหาวิทยาลัย
อันนี้ง่ายที่สุดใน 3 อย่างที่พูดถึงในวันนี้
ก่อนอื่นก็ต้องไปที่ฝ่ายงานทะเบียนนิสิต(อะไรทำนองนี้)ของมหาวิทยาลัยตัวเองซะก่อน
ในที่นี้ก็คือตึกจามจุรี 5 ที่อยู่ใกล้ๆกับหอสมุดกลางนั่นเอง
เดินดุ่มๆขึ้นไปชั้น 2 (ลิฟท์ไม่จอดนะเออ ชั้นเดียวขึ้นบันไดเอาเต๊อะ)
ก็จะเจอป้ายบอกทาง ว่าต้องเข้าไปทำเรื่องทางห้องขวามือนี้นะคะ

Photobucket

แต่ก่อนจะเข้าไป อย่าลืมกรอกเอกสารที่วางไว้หน้าประตูก่อนจ้า

Photobucket

ต้องการเอกสารอะไร ก็หยิบไปกรอกให้เรียบร้อย
เอากี่ใบก็ว่ากันไป (เอกสารชุดละ 50 บาท ไม่รวมค่าส่ง)

เสร็จแล้วก็เอาไปยื่นที่เคาเตอร์ด้านใน ที่หน้าเคาท์เตอร์จะติดป้ายเอาไว้ว่ายื่นเอกสารสีอะไรให้อยู่แล้ว
จากนั้นก็จ่ายเงิน แล้วก็จะได้ใบสีชมพูๆ เป็นใบเสร็จมา 1 ใบ
3 วันทำการหลังจากยื่น ก็เอาใบนี้พร้อมบัตรประชาชนมารับได้เลยค่ะ

ปกติแล้วเวลามาติดต่อราชการ ก็จะต้องใส่ชุดนิสิตให้เรียบร้อย แล้วก็ใช้บัตรนิสิตในการติดต่อ
แต่ว่า หลังจากที่จบไปแล้ว ไปเอาชุดนิสิตมาใส่ หน้าก็ออกจะล้ำวัยไปนิด ไม่ต้องใส่ชุดนิสิตมานะคะ
ใส่ชุดเรียบร้อยมาก็พอค่ะ ^^ ถ้าใส่กางเกงก็เป็นกางเกงขายาว และไม่เอารองเท้าแตะจ้า

.

.

เรคคอมเมน เลตเตอร์
Recommend letter ออกมาจะได้หน้าตาแบบนี้ค่ะ
แต่ว่าส่วนมากแล้วก็จะพับใส่ซอง ตามธรรมเนียมปฎิบัติก็จะลงลายเซ็นปิดผนึกเอาไว้
(ทำไมถึงให้เห็นไม่ได้ ไม่เข้าใจ -*- กลัวนักเรียนปลอมแปลงเอกสารงั้นรึ??)

ทรานสคริปต์ และใบจบ
Transcript และ ใบจบ
กระดาษแผ่นเดียว ราคาตั้ง 50 บาท =3=
แต่ก็เอาเถ๊อะ เพื่ออนาคตที่ยิ่งใหญ่ 5555

.

.

,, อยากบอกว่า….. 3 วันที่วิ่งเข้าวิ่งออกมหาลัย เหนื่อยยากดีแท้
เพราะว่าตอนนี้ที่จุฬาสร้างอาคารจอดรถใหม่เสร็จหมดแล้ว
จอดแวะหน้าคณะไรแบบนี้ไม่ได้แล้วล่ะ ต้องเอารถไปจอดที่อาคารจอดรถเท่านั้น
แล้วแบบว๊า….. มันไกลมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ไกลขนาดนี้ ให้อิชั้นเอารถไปจอดพารากอนแล้วเดินมาก็ได้นะเจ้าคะ !!!!!!

End.

 

► ทำพาสปอร์ตสมัยนี้..ง่ายกว่าหาที่จอดรถ 3 เท่า!! May 27, 2010

,, แฮ่~~ ในที่สุดก็ถึงเวลาเปิดฉากการเดินทางครั้งใหม่แว้ว!!!
ครั้งนี้อาจจะไปไกลหน่อย แล้วก็นานกว่าทุกครั้งที่ไปมา
แต่น่าเสียดายนะคะ ที่ไม่ได้ไปเที่ยว ,, ไปเรี๊ยนนนนนนนนนน เอี๊ยน เอี๊ยน เอี๊ยนนนน~~ *เสียงเอคโค่ว 48 จังหวะ*

ตามแพลนที่วางไว้ จะเหลือเวลาอีก 2 เดือน
กับสถานะที่เรียกว่า “ยังไม่ทำอะไรเลย!!”
ตื่นเต้นดีชิมิล่ะ 555555+
ยังไงเด็กไม่ดีคนนี้ จะต้องเตรียมเรื่องไปให้ทันให้ได้ คอยดูน๊า~

แปะคาเลนเดอร์เอาไว้เตือนสติ
เผื่อมีคนที่ “ยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย” หลงเข้ามา เราจะได้กระดึ๊บๆไปพร้อมๆกัน อิอิ ^^

.

.

ส่วนภารกิจแรกในการเริ่มต้นทริปคือ ก็คือ “การทำพาสปอร์ต (Passport)” หรือที่เรียกว่าหนังสือเดินทางค่ะ
ในฐานะที่เป็นพลเมืองไทย หากว่าจะออกนอกประเทศ เราจำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตเป็นเอกสารประจำตัวค่ะ
บางคนอาจจะมีพาสปอร์ตอยู่แล้ว บางคนอาจจะยังไม่เคยไม่มีมาก่อน
ทั้งหมดทุกประเภท สามารถทำได้ที่กรมการกงศุล ถนนแจ้งวัฒนะ นะคะ
แต่นอกจากกรมการกงศุลแล้ว ก็ยังมีสถานที่ให้บริการทำหนังสือเดินทางที่อื่นๆอีก ดังนี้จ้า

กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ
– ที่อยู่ 123 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210
– โทรศัพท์ 0-2981-7171-99 โทรสาร 0-2981-7256

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา แผนที่
– ที่อยู่ ศูนย์การค้าเซ็ลทรัลซิตี้ บางนา บริเวณลานจอดรถ ชั้น P9
– โทรศัพท์ 0-2383-8401-3  โทรสาร 0-2383-8398

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปิ่นเกล้า แผนที่
– ที่อยู่ อาคารธนาลงกรณ์ทาวเวอร์(ชั้นใต้ดิน) แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กทม. 10700
– โทรศัพท์ 0-2446-8111-2 โทรสาร 0-2446-8118-9

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดขอนแก่น แผนที่
– ที่อยู่ ศูนย์ราชการจังหวัดขอนแก่น ถนนศูนย์ราชการ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000
– โทรศัพท์ 0-4324-2707, 0-4324-3462, 0-4324-2655 โทรสาร 0-4324-3441

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดเชียงใหม่ แผนที่
– ที่อยู่ ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50000
– โทรศัพท์ 0-5389-1535-6 โทรสาร 0-5389-1534

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดสงขลา แผนที่
– ที่อยู่ ศาลากลางจังหวัดสงขลา (หลังเก่า) ชั้น 1 ถนนราชดำเนิน อำเภอเมือง จ.สงขลา 9000
– โทรศัพท์ 0-7432-6510-1 โทรสาร 0-7432-6506

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดอุบลราชธานี แผนที่
– ที่อยู่ อาคารสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000
– โทรศัพท์ 045-242313-4 โทรสาร 045-242301

สำนักงาน หนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดสุราษฎร์ธานี แผนที่
– ที่อยู่ ศาลาประชาคม ถนนหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 84000
– โทรศัพท์ 077-274940, 077-274942-3 โทรสาร 077-274941

.

.

กงศุลแจ้งวัฒนะค่ะ

อย่างที่จั่วหัวเอาไว้ค่ะ ว่าทำพาสปอร์ตง่ายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
สาบานว่าง่ายกว่าหาที่จอดรถในสถานกงศุลซะอีก -*-

วันนี้ที่ทำงานมีปัญหากับคอมพิวเตอร์นิดหน่อย (สงสัยแชทหนักไป)
ลูลิก็เลยโดนไล่กลับบ้าน เนื่องจากนั่งอยู่ก็เกะกะเค้า = =’
แต่มันเพิ่งจะ 11 โมงเองนะ.. ก็เลยตัดสินใจไปทำพาสปอร์ตเลยดีกว่า
เพราะว่าได้ข่าวว่ามันใช้เวลาทำอาทิตย์นึง รีบทำรีบอุ่นใจดีกว่า
ว่าแล้วก็บึ่งรถไปที่กรมการกงศุล ถนนแจ้งวัฒนะโดยบัดดล (แอบแวะเข้าบ้านไปกินข้าวก่อนด้วย 555+)

ถึงที่กงศุล บ่ายโมงนิดๆ ก็ขับรถไปหาที่จอด
อาจจะเพราะว่าพรุ่งนี้ (28 พย.) มันหยุดวันวิสาขบูชาด้วย คนก็เลยแห่กันมาทำใหญ่เลย (เกี่ยวมั๊ย ><)
รถเยอะมากๆ และเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆสุดๆ คงเพราะว่ามีรถเข้าออกตลอดเวลานั่นล่ะ
พอเห็นที่จอดรถริมรั้ว ลูลิก็ไม่รอช้าปาดฟ๊าบบบบเข้าจอดทันที
ทั้งๆที่เห็นตำตาว่ามันเป็นขาวแดง!!
เอาเหอะ ใครๆเค้าก็จอดกันน่าาาาาาาาา ><

.

.

เดินเข้าไปด้านในกงศุล ก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 2 เลยค่ะ
ทางซ้ายมือ จะมี “จุดรับบัตรคิว” ซึ่งเปิดรับบัตรคิวถึง 15.30 น. นะคะ (ไปให้ทันล่ะ)
หลักฐานที่เค้าต้องการก็แค่ บัตรประชาชน(ตัวจริง)ใบเดียว
พอยื่นบัตรประชาชนไป เจ้าหน้าที่ก็จะพิมพ์ต่อกๆแต่กๆลงไปในคอมพิวเตอร์
แล้วก็ยื่นกระดาษเล็กๆ ยาวๆ มาให้ 1 แผ่น
“กรอกรายละเอียดแล้วนั่งรอเรียกคิวทางด้านนั้นเลยนะคะ ด้านหลังเชิญค่ะ”
คุณพี่พูดชัดถ้อยชัดคำ แต่แทบไม่มองหน้าอิชั้นเลยด้วยซ้ำ 555+

ถ้าหากเจอสถานการณ์เดียวกัน ไม่ต้องเอ๋อนะคะ
เค้าบอกว่า เอาใบที่ดพิ่งได้รับนี่ไปกรอก แล้วก็เดินไปนั่งตรงเก้าอี้ด้านนู้น (ซ้ายมือจากที่ยืนอยู่)
แล้วก็รอฟังเสียงคอมพิวเตอร์เรียกคิวค่ะ ^^
สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ/เปลี่ยนชื่อ จะมีเอกสารเพิ่มเติมด้วยค่ะ → เชคได้ที่นี่จ้า
http://www.consular.go.th/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=63

ที่โต๊ะกลางจะมีปากกาเอาไว้ให้กรอก แต่ถ้าใครไม่มั่นใจว่ากรอกยังไง เค้ามีตัวอย่างเอาไว้ให้เรียบร้อยค่ะ
ชื่อ-นามสกุล (ตัวพิมพ์ใหญ่ภาษาอังกฤษ) ▬ หากเขียนไม่เป็นบอกให้เจ้าหน้าที่ช่วยได้
เลขบัตรประชาชน
จังหวัดที่เกิด ▬ ลูลิเห็นคำว่าเกิดแว๊บๆ เขียนวันเกิดเฉยเลย อายเจ้าหน้าที่มาก T^T
ชื่อคนใกล้ชิดที่ติดต่อได้ พร้อมเบอร์โทร ▬ ใส่พ่อแม่ไปเลย ง่ายดี

พอกรอกใบเสร็จ ยังไม่ทันหย่อนก้นลงถึงเก้าอี้
“บัตรคิวหมายเลข 9 5 4 เชิญที่ช่อง 28 ค่ะ” ง๊ะ..ทำไมเร็วจังล่ะ = =’

.

.

พอได้ยินเสียงเรียกคิว ก็ให้เดินไปทางซ้ายมือ จะมีประตูอยู่พร้อมเจ้าหน้าที่เฝ้าหน้าประตู
ในขั้นตอนนี้ใครเอาลูกเอาหลาน เอาเพื่อนเอาแฟนไป ให้รอข้างนอกนะคะ
เพราะว่าเค้าอนุญาตให้เข้าไปได้แค่คนที่จะทำพาสปอร์ตเท่านั้นเองค่ะ
จะมีการตรวจบัตรประชาชนกับบัตรคิวที่หน้าประตูเพื่อความไม่มั่วด้วยค่ะ

ด้านในจะเป็นโถงยางเฟื้อยไปจนสุดด้านหลังของตึก
โดย 2 ข้างทางจะเป็นคอกๆที่เราจะเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่
จำเบอร์คอกของเราไว้ให้ดี แล้วก็มองหาป้ายเลขคอกของเราจากป้ายด้านบนค่ะ

เข้าไปด้านใน(กลุ่มของคอก)ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาวัดความสูงให้ แล้วก็จะเขียนลงไปในใบที่เราถือมาค่ะ
นั่งรอที่เก้าอี้ด้านหน้าคอกของตัวเอง แล้วซักพัก เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกเข้าคอกไปค่ะ

.

.

เข้าไปนั่งคอกที่ 28.. คุณพี่เจ้าหน้าที่แลดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ลูลิชวนคุยก็ไม่ค่อยอยากจะคุยด้วย T^T (เสียเซล์ฟเลย แงงง~~)
ขนาดกรอกเอกสารผิด คุณพี่ยังแก้ให้ โดยไม่คุยด้วยเลยซักคำ ฮือออ!!

ยื่นเอกสารทั้งหมดทั้งมวลให้คุณพี่เจ้าหน้าที่เลยค่ะ
– บัตรประชาชน
– บัตรคิว
– ใบที่กรอก
– พาสปอร์ตเล่มเก่า

ประมาณว่าไม่ต้องเก็บอะไรลงกระเป๋าเลย ถือไว้ในมือ แล้วก็ยื่นไปให้หมดเลย
เค้าจะดูอันไหน เดี๋ยวเค้าก็จะเปิดใช้เองล่ะค่ะ ^^

เริ่มต้นเลย เจ้าหน้าที่ก็จะพิมพ์รหัสประจำตัวประชาชนของเราลงไป สแกนบัตรประชาชน
แล้วก็จะเชิญเราไปถ่ายรูป (ก็แค่ขยับไปเก้าอี้ตัวข้างๆ ที่เข้าไปอยู่ในห้องที่มีไปส่อง)
“ขยับหน้าไปทางขวานิดนึงค่ะ” “อย่าก้มหน้านะคะ” “อมยิ้มไว้ก่อน” “นิ่งๆนะคะ” “เรียบร้อยค่ะ”
ว่าแล้วก็หันจอมาให้ดู “รูปนี้โอเคมั๊ยคะ”
พอสายตาโฟกัสไปที่ภาพในจอ…. กรี๊ดดดดดดดดด ไม่โอค่ะ!!!!!
คุณพี่แกก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ่ายให้ใหม่อีกรอบ
กว่าจะรู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่โดนถามว่า “รูปนี้โอเคมั๊ยคะ” น่ะล่ะค่ะ
ถ้าจะบอกว่าไม่โออีกรอบ โดนถีบกระเด็นแน่… ฮืออออ โอก็ได้ค่ะ T^T *กัดฟันกรอด น้ำตานอง*

หลังจากถ่ายรูปเสร็จ พี่เจ้าหน้าที่ก็พิมพ์ต่อกๆแต่กๆไปตามเรื่องตามราว
สแกน แล้วก็ปริ๊น แล้วก็สแกน แล้วก็ปริ๊น
จนมีใบนึงออกมาให้เราเซ็นชื่อ
– ช่องบน เซ็นลายเซ็นที่จะให้ปรากฎในพาสปอร์ต ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้
– ช่องล่าง เขียนชื่อตัวบรรจง เป็นภาษาไทย (ไม่ต้องใส่นาย/นาง/นางสาว)

.

.

ตอนนี้กงศุลมีบริการส่งเล่มทางไปรษณีย์แล้วนะคะ เป็น EMS ค่าส่ง 35 บาท
จริงๆสะดวกสบายมากๆเลยล่ะ เพราะว่าทีนี่ที่จอดรถน้อย -*-
ถ้าหากว่าใช้บริการ ก็บอกเค้าไปว่าให้ส่งไปรษณีย์
ส่วนลูลิต้องมารับแล้วยกเลิกเล่มเก่าด้วย ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวมารับเองค่ะ
(เพิ่งมารู้ทีหลังว่า ยกเลิกเลยแล้วให้ส่งไปรษณีย์ก็ได้เหมือนกัน = =)

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ปริ๊นๆแสกนๆอยู่อีกซักพัก ก็ยื่นกระดาษมาให้ 1 ใบ
“นำไปชำระเงินที่ทางด้านโน้นค่ะ” ผายมือไปทางด้านหลัง
ลูลิก็เลยออกจากคอก แล้วก็เดินออกไปตามทาง

แล้วก็จะเจอตู้จ่ายเงินอยู่ตรงริมประตูทางออก
เจ้าหน้าที่ที่ตู้แลดูอารมณ์ดีม๊ากมาก ส่งเสียงเรียกแขกตลอดเวลา
ตรงนี้เราต้องจ่ายเงิน 1000 บาทนะคะ เป็นค่าพาสปอร์ต
ส่วนคนที่ส่งทางไปรษณีย์ ก็เพิ่มอีก 35 บาท (แต่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ด้านในแต่แรกนะ)
แล้วก็ถ้าอยากได้ปก (ซึ่งเวอร์ชั่นนี้ไม่สวยสุดๆ-*-) ก็เพิ่มอีก 20 บาทค่ะ
ของลูลิจ่าย 1000 ถ้วน เพราะว่าปกเก่ายังชิ้ง แถมยังสวยกว่าด้วย อิอิ

.

.

เดินพ้นออกมาจากห้องจ่ายเงิน โอ๊ะ นี่เสร็จแล้วเหรอเนี่ย ^[]^
ก้มมองนาฬิกา 2โมง 15  นี่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเองเหรอเนี่ย!!
เดี๋ยวนี้ทำพาสปอร์ตง่ายจัง ^__________^

ปล.ที่ไวเพราะช่วงนี้เป็น Low season ด้วยค่ะ ถ้าหากมาช่วงปิดเทอม เหอ เหอ เหอ ….ไม่เอา ไม่พูดดดด -*-

——————————————————————————————————————–

สำหรับการรับเล่ม สามารถมารับได้ที่เดียวกันเลยค่ะ
แต่ขึ้นชั้น 2 มาแล้ว ให้ไปทางขวา กดบัตรคิว แล้วรอเรียก
สิ่งที่ต้องนำมา ก็คือ
– ใบรับเล่ม
– บัตรประชาชน
– ใบมอบอำนาจ และบัตรประชาชนตัวจริงของเจ้าของเล่ม (หากไม่ได้มาเอง)

เท่านี้เอง ไม่ถึง 5 นาทีก็เรียบร้อยจ้า ^^

End..

 

► TOEFL iBT ,, เตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมเท่าไหร่ก็ไม่พอ!! May 22, 2010

,, 22 พฤษภาคม 2010

ไปสอบ TOEFL มา(อีกแล้ว~~~~~)ค่ะ
ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 แหล่ว (1 pBT / 2 iBT) แลดูมีเงินเหลือใช้เนอะ 5555+

ครั้งแรกไปสอบมาที่ศูนย์สอบ “เกษมบัณฑิต”
เท่าที่อ่านในรีวิวตามเวป/บลอค ที่นี่น่าจะเป็นศูนย์สอบที่ดีที่สุดแล้วล่ะนะ
แล้วก็จากประสบการณ์ตรง ที่นี่ก็เวิร์คจริงๆนั่นแหละ
ติดที่ไกลไปนี๊ดดดดดดดด แต่ถนนชานเมือง ก็โล่งๆ ขับปรื๋อๆ ไม่ต้องห่วงรถติด (จริงๆก็ดีออกเนอะ ><)

ขอเล่นท้าวความถึงห้องสอบที่เกษมบัณฑิตก่อน
แบบว่าประทับใจมาก~~~~~ (แต่ตอนนั้นยังไม่มีบลอคให้ระบาย 555+)
เริ่มจาก ในห้องจะมีโต๊ะวงกลมทั้งหมด 4 ตัว แต่ละตัววางคนละมุมห้อง มีพาร์ทิชั่นกั้นระหว่างกัน
ใน 1 โต๊ะกลมๆ ก็มีพาร์ทิชั่นกั้นเป็นกากบาท ด้วยองศาที่นั่งหันเข้าหาเซนเตอร์เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจะมองไม่เห็นกันเด็ดๆ… สภาพห้องสอบแบบนี้ ทำให้มีสมาธิดีมั่กๆเลยค่ะ
ให้ A++ สำหรับศุนย์สอบนี้!!
.

.

.

พอมาวันนี้… จริงๆก็ทำใจแล้วล่ะ ว่าคงไม่เริ่ดหรูอลังการงานสร้างเหมือนที่เกษมบัณฑิต
ถึงแม้จะเลือกที่เวิร์คที่สุดเท่าที่่มีชอยส์ให้เลือกแล้วก็ตาม
(วันที่อยากสอบ ศูนย์เกษมบัณฑิตไม่เปิดค่ะ เลยต้องจำใจเลือกอันอื่นไป T^T)

ศูนย์ที่เลือกในครั้งนี้คือ

Test Center Name: THE ENTERPRISE RESOURCE TRAIN
Test Center Address
Charn Issara Tower II, 3rd Fl,
2922/135-136 Room  331-332 New Petchburi Rd. Huaykwang BANGKOK


Reporting Time: 08:30 AM
Start Time: 09:00 AM
Test Date: May 22, 2010

อยู่ที่ ตึกชาญอิสระ 2 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่นั่นเอง

ตอนแรกก็งง ตึกนี้มันอยู่ตรงไหน?? เคยได้ยินแหละ แต่พิกัดจุดไม่ได้
แผนที่ที่หามาได้ ก็ดูไม่รู้เรื่อง
ถนนหนทางก็ปิดบ้างเปิดบ้าง เพราะเหตุจราจล -*-
โอ๊ ลูลิเครียดดดดดด กลัวหลงสุดๆ (ประเด็นคือเสียดายเงินถ้าไปสอบไม่ทัน = =)

แล้วก็มีน้องที่น่ารักส่งแผนที่มาให้ 555+
เอามาอวดซะเลย เผื่อมีคนไปไม่เป็นเหมือนกัน ^^


น่ารักใช่ปะล่า 555+

นั่นล่ะค่ะ ลงทางด่วนพระราม 9 มา แล้วเลี้ยวขวา จะผ่านทางรถไฟ แล้วทะลุออกถ.เพชรบุรีตัดใหม่
เลี้ยวซ้ายออก ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ (จากซอกนั้น) แล้วก็ตรงไปเรื่อยๆเล้ย~~
ไม่นาน ก็จะเห็นตึกประจักษ์ต่อสายตา สามารถรับรู้ได้ทันทีแม้ไม่เคยไปมาก่อน ><

Photobucket
เห็นป้าย SIEMENS มั๊ยคะ ตึกฟ้าๆนั่นเลยค่ะ  ไม่ต้องมองหา เพราะเด่นเด้งอยู่ตึกเดียว ><

ขับเลยตึกไปแล้วก็กลับรถ.. เลี้ยวเข้าด้านหน้าตึก แล้วเอารถขึ้นไปจอดด้านหลังได้เลยค่ะ
อย่าลืมให้ที่ศูนย์ประทับตราจอดรถให้นะคะ (ค่าจอด 30บาท)
ศูนย์สอบอยู่ชั้น 3 ก็เอารถไปจอด ชั้น 3 เลย ,, แบบว่าตึกมันยังไม่เปิด จอดแล้วเดินก็น่ากลัวอยู่ -*-

เข้าไปในตึกถึงกับอึ้งกิมกี่ ไปต่อไม่ถูกเลย เพราะมืดไปหมด = =’
ชักหวั่นใจว่ามาผิดที่ผ่าวแว๊ >< ก็เดินวนๆท่ามกลางความมืดสลัวนั่น
แล้วก็จะเจอป้ายแดงๆนี่!!!! โอ้ ในที่สุดก็มาถึง!!!

Photobucket

Photobucket

Photobucket
ตอนนั้นยังไม่ 8 โมงเลย (ไปถึงคนที่ 2 เชียวนะ) ร้านอื่นๆไม่มีเปิดซักร้าน เหมือนตึกร้างเลย น่ากัว T^T
ถ่ายจากมือถือ ภาพเลยห่วยไม่มีชิ้นดี ขออภัย = =’

ศูนย์สอบที่นี่ไม่เข้มงวดเท่ากับที่ เกษมบัณฑิต นะคะ
ตอนไปสอบที่เกษมบัณฑิตรู้สึกเกร็งไปหมดเลย มีตรวจพาสปอร์ต ตรวจใบ Order
เซ็นชื่อกันทีละคนต่อหน้าเจ้าหน้าที่ แถมเจ้าหน้าที่ไม่ยอมพูดภาษาไทยด้วยอีก
กระเป๋าก็ใส่ลอกเกอร์ ปากกาก็ไม่ให้เอาเข้าไป อ่อก…. เครียด -*-

ส่วนที่ Enterprise นี่ สบายบรื๋ออออออออ
เจ้าหน้าที่ยิ้มแย้มด้วยตลอด วันนี้เด็กญี่ปุ่นมาสอบเพียบเลย
คนไหนหน้าตาไม่ค่อยบ่งบอกว่าไทย พี่เจ้าหน้าที่ก็จะพูดอิ้งด้วย แต่พอรู้ว่าเป็นคนไทยก็หัวเราะเสียงดังเชียว ^^
กระเป๋าเอาไปวางไว้ใต้ขาได้ ปากกาเอาเข้าไปเองได้ ตรวจพาสปอร์ตรอบเดียว
ตอนเซ็นใบ ก็ให้เอาไปนั่งเขียนของใครของมัน แล้วเอามาส่งตอนเข้าห้องสอบ
ชิวดีแท้~~

แต่….
บนความชิวนั้น นรกกำลังรออยู่!!
ห้องสอบที่นี่ เหมือนห้องบรรยายเล็กๆ ห้องนึงนั่ง 12 คน (หน้ากระดาน 3 ลึกลงไป 4)
แต่ละโต๊ะไม่มีพาร์ทิชั่นใดๆทั้งสิ้นนนนนนนน (ตอนเห็นห้อง กลืนน้ำลายเอื๊อก = =’)
อุปกรณ์ก็ใช้ได้แหละค่ะ หูฟังครอบหูแล้วก็ลดเสียงรบกวนได้ระดับนึง
แต่…. ระยะห่างแค่นั้น แล้วไม่มีอะไรบลอคเสียงเลย เสียงก็เข้ามาเต็มๆ (นรกจริงๆ)
แล้วซวยซ้ำซ้อน นั่งหน้าประตู!!! โอ้…ฟ้าจ๋าฟ้า รังแกเค้าทำมายยยยยยยย T^T
แทบเสียสติ ตอนคนเดินเข้าเดินออก
เข้าใจนะว่าสมาธิเราอาจจะไม่มากพอ มันผิดที่เราแหละ แต่ถ้าเลือกได้ ขอนั่งข้างในเหอะ -*-

.

.

.

สำหรับตัวข้อสอบ iBT TOEFL จะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 พาร์ทนะคะ
Reading   ▬ 3-5 ชุด
Listening ▬ 6-9 ชุด
พัก 10 นาที
Speaking  ▬ 6 ข้อ
Writing     ▬ 2 ข้อ

วันนี้ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายเหมือนกัน ได้ Reading (ซึ่งเกลียดที่สุด) แค่ 3 เรื่อง (คราวที่แล้วได้ 5 บ้าไปเลย)
แต่เพราะ Reading น้อยก็เลยทำให้ Listening (ที่ได้คะแนนน้อยสุด) มีเยอะถึง 9 เรื่อง
ข้อหลังๆเริ่มฟังไม่รู้เรื่องแระ ไม่รู้ว่ายาก หรือว่าจิตหลุดเองเหมือนกัน T^T


Reading

หลายคนอาจจะไม่รู้ ว่ามันมีกับดัก -*-
3 ข้อที่ว่านี่จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือข้อแรก 15 นาที และข้อ 2-3 อีก 40 นาที
แต่ละช่วงจะไม่สามารถกลับไปกลับมาหากันได้

ซึ่งแน่นอนว่า ลูลิทำไม่ทันหรอกค่ะ T^T
ตื่นเต้น + คนเดินเข้าเดินออก + เสียงก่อกๆแก่กๆ + โง่ = ทำได้ 5 ข้อถ้วน = =’
ใน passage แรก พยายามมาก ตั้งใจมากๆที่จะมีสมาธิ
ถึงมันจะค่อนข้างทรมาน เพราะว่าสติหลุดง่ายมากๆก็ตาม
เหมือนว่าจะอ่านรู้เรื่องหมดแหละ เขียนลงกระดาษทดได้เป็นเรื่องเป็นราว
แต่… พออิเวลามันเหลืออีกแค่ 5 นาที นาฬิกาตรงมุมจอมันจะเริ่มกระพริบ
ณ วินาทีนั้น.. เริ่มลน!! เพราะหันไปมองตัวเลขคำถาม นี่ยังไม่ได้ทำอีกเป็น 10 ข้อ =[]=
กรี๊ดดดดดดด ลน ลน ลน ลน ข้อละ 30 วิ งั้นเร๊าะ… แค่อ่านโจทย์ยังไม่ทันเลย
เลยต้องใช้วิธี scan ขั้นเทพ (แปลว่ามั่วนั่นเอง) ชอยส์ไหนคุ้น จิ้มแม่มเลย!!!
ถิอคติที่ว่า “ตอบผิดยังดีกว่าไม่ได้ตอบ” T^T
เฮ่อ ==3  ถอนหายใจหนักๆ แล้ว passage ใหม่มันก็ไม่รอช้า เด้งขึ้นมาในทันทีทันใด (ใจคอจะไม่ให้พัก -*-)

2 passage หลังนี่เหมือนจะง่ายกว่าอันแรก แถมเวลาเยอะกว่าอีก (เฉลี่ยแล้วได้ passage ละ 20 นาที)
แต่ก็เข้าอิหรอบเดิม = =’ ทำไม่ทัน อะเกน ฮือออออออออออออ
คราวนี้ไม่โทษใครแล้วค่ะ เพราะว่าไม่มีใครรบกวน (ยกเว้นคนที่เครื่องเสีย) โทษตัวเองได้อย่างเดียว
รู้สึกว่าศัพท์กับเรื่องราวมันใกล้ตัวกว่า passage แรก แต่อ่านรู้เรื่องน้อยกว่า -*-
ฮาราคีรี~~~~

.

.

Listening

พาร์ทนี้หวั่นใจมากที่สุด เพราะว่ารู้ตัวดีว่า สมาธิสั้น แล้วก็ยังหูไม่ดี
แถมผลสอบครั้งที่แล้ว ก็ยังมาตอกย้ำซ้ำเติมให้เข้าใจแจ่มแจ้งว่า “Listening แกห่วยระดับโลก!!”
แต่ที่ผ่านมาก็พยายามฝึกฟังมาตลอด เปิดให้มันได้ยินเป็นชีวิตประจำวัน
มันก็น่าจะดีขึ้นบ้าง ซักนิดล่ะน่า~

ครั้งนี้ก็เหมือนครั้งที่แล้ว
ฟังออกหมด จดได้เป็นเรื่องเป็นราว (หลุดบ้างนี๊ดโหน่ย~)
แต่ก็รู้สึกว่าลังเลตอนเลือกชอยส์
คล้ายๆกับชอยส์ถูกมี 2 อันยังไงยังงั้นล่ะ = =’
คล้ายๆกับที่ A.OB1 เคยบอก ภาพใหญ่-ภาพเล็ก ให้ตอบภาพที่ใหญ่กว่า
ก็เข้าใจนะ แต่ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ทำไมถึงได้เลือกข้อที่ไม่ถูกตลอด ฮ่วย!!!

Listening จะแบ่งออกเป็นเซตๆค่ะ
1 เซตจะประกอบไปด้วย 1 conversation กับ 2 lecture ให้เวลาตอบ
ไม่นับเวลาฟังกับอ่านคำถาม 10 นาทีถ้วน!!
แต่ใครจะได้ 2เซต หรือ 3 เซต ก็ขึ้นอยู่กับว่า Reading เยอะแค่ไหน

.

.

Speaking

นรกของจริงกำลังเริ่มขึ้นค่ะ เมื่อคนเริ่มทะยอยเดินกลับเข้ามาจากพัก
(พวกที่ยัง listening ไม่เสร็จก็ประสาทเสียกันไป – -;)
ที่ listening เสร็จก่อน ก็จะกลับเข้ามาก่อน แล้วก็จะต้องเริ่มต้น speaking ก่อน
โชคดีที่ลูลิไหวตัวทัน พยายามอู้(ทำเต็มเวลา) ตอน Listening = =’
ก็ไม่อยากจะสปีคคนเดียวในห้องนี่นา

Speaking จะแบ่งออกเป็น 6 ข้อ
ข้อ1. ให้พูดเรื่องใกล้ๆตัว → มัวแต่ตกใจอยู่เลยตอบแบบโง่ๆเลย
ของลูลิถามว่าเพื่อนสมัยเด็กสำคัญยังไง อะไรทำนองนี้
แบบภาษาไทยยังรู้สึกซับซ้อนมากกับเรื่องนี้ เลยตอบไม่ถูกเลย T^T

ข้อ2. ให้ชอยส์มาว่า agree หรือ disagree
จำไม่ได้ว่าถามว่าอะไร แต่จำได้ว่าตอบไปอย่างเต็มแม๊ก ราวกับมีความรู้เยอะเลย 555+

ข้อ3. อ่าน passage แล้วก็ฟัง คน 2 คน discus กัน อธิบาย แล้วก็พูดสรุปว่าเค้าว่ายังไง
อันนี้ฟังไม่ค่อยทัน เพราะเจ๊พูดเร็วมาก เหมือนจะเกี่ยวกับรถขายอาหารซักอย่าง
ไม่รู้ล่ะว่าเค้าพูดว่าไง (ก็ฟังไม่เข้าใจ) เลยเอาแค่ที่ฟังทันโซโล่ไปเลย กร๊ากกกกก สงสารคนตรวจข้อสอบจริงจรี๊ง

ข้อ4. อ่าน passage แล้วก็ฟัง prof. อธิบายในชั้นเรียน
ปกติลูลิจะไม่เก่งเวลาเป็น Lecture แต่อันนี้ฟังได้หมดเลยล่ะ ฮ่าๆๆ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับแมงมุมปล่อยฟีโรโมนของตัวอะไรซักอย่างได้ ล่อให้ตัวผู้มาติดกับละก็กิน ง่ำๆๆๆ

ข้อ5. ฟังคนคุยกันแล้วก็อธิบาย ว่าเค้ามีปัญหาอะไร แล้วก็มีวิธีแก้ยังไง
ครั้งนี้เป็นเรื่องของผญ.ที่ต้องแบกจักรยานขึ้นชั้น 4  _ _:
จริงๆข้อนี้มันจะมี pattern ในการตอบอยู่ แต่ว่าไม่ได้เตรียมตัวเรื่อง Speaking ไปเลย
ก็เลยลืมไปว่ามันจะ มี 1 ปัญหา 2 ทางแก้ แล้วก็เลือก 1 ทางเสมอ
พาร์ทนี้ค่อนข้างง่ายในความคิดของลูลิ แต่วันนี้ตอบมั่วมาก เซ็งเป็ด T^T

ข้อ6. ฟัง Lecture แล้วสรุปใจความมาพูด
อันนี้ก็ฟังรู้เรื่องหมด ตอบได้ด้วยฮ่าๆๆ แต่พูดไม่ค่อยทัน แบบว่ารู้เรื่องเยอะเกินไป เวลาไม่พอ กร๊ากกกกกกก
เป็นเรื่องของประโยชน์ของการปลูก weed (เท่าที่แอบฟัง เหมือนทุกคนตอบข้อนี้ได้หมดเลยอ่ะ)

ประเด็นสำคัญของการ speaking คือ หน้าทนเข้าว่า!!!
พึงระลึกเอาไว้เสมอว่า ไม่มีใครรู้จักเรา (ถึงจะเห็นหน้าเราก็เหอะ = =’ เด๋วก็ลืม)
แล้วทุกคนก็สนใจที่จะตอบของตัวเอง ไม่มีเวลามาเงี่ยหูฟังเราหรอก!!
concentrate กับข้อสอบของตัวเอง ไม่ต้องแคร์สื่อ !!!!

แต่..

เวลาพูดไม่ต้องตะโกนนะคะ ไมค์เค้าดี พูดเบาๆก็ได้ เกรงใจคนอื่นเค้ามั่ง = =’
วันนี้ลูลิไปสอบ ช่วงที่ลูลิอ่าน Reading ของพาร์ท Writing  อยู่ ก็ยังมีคนที่ยัง Speaking ไม่เสร็จ
อะหือออ.. แบบว่า จะเน้นเป็นคำๆชัดไปไหน เหลืออยู่คนเดียวในห้องแต่เซล์ฟสุดยอด!!
ทำเอาอ่าน Reading ไม่รู้เรื่องเลย T^T

ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ เข้าใจว่าแต่ละคนอยากทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด
ถ้าจะผิด ก็คงผิดตรงไม่มีพาร์ทิชั่นนี่ล่ะ ฮือออออออออออ

.

.

Writing

พาร์ทนี้เป็นพาร์ที่ค่อนข้างมั่นใจมากที่สุด
เพราะว่าเป็นคนชอบเขียน (ถึงจะเขียนเป็นภาษาไทยก็เหอะ)
เอาเป็นว่าไม่มีปัญหาในการปั้นน้ำเป็นตัว เอ้ย เป็นเรื่อง ก็แล้วกันค่ะ ^^

ข้อสอบจะมีทั้งหมด 2 ข้อ
ข้อแรก ให้อ่านแล้วฟัง แล้วก็ให้เขียนอธิบายสิ่งที่เค้าพูดถึง พร้อมยกตัวอย่างดีเทลยิบย่อยตามเค้า
ปัญหาของข้อนี้คือ ต้องอ่านอย่างรวดเร็ว เพื่อจับใจความให้ได้ว่าเค้าจะพูดถึง passage ในแง่ไหน
passage จะหายไปตอน Listening แต่จะโผล่มาอีกทีตอนเขียนค่ะ ไม่ต้องห่วงถ้าอ่านไม่ทัน
หลังจากอ่าน(ไม่ทัน)จบ ก็จะเริ่ม Lecture ทันที (ใส่หูฟังรอไว้เลยค่ะ)
อันนี้ลูลิก็เขียนไม่ค่อยได้เรื่อง เพราะว่าอ่านไม่รู้เรื่อง (ไม่ทันอะ ยาวเกิ๊น = =’)
ที่ prof. พูดก็ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง

เอามานั่ง mix กันอยู่นาน จนสุดท้ายเหลือเวลาไม่ถึง 10 นาที
เริ่มลนอีกแล้วครับท่าน!!!!
ก็เลยต้องใช้วิธีเขียน keyword ของแต่ละ paragraph เอาไว้
ประมาณว่า ถ้าเวลาหมด (มันจะตัดทันที) ก็ยังอ่านเข้าใจได้ ถึงจะไม่สวยงามก็เหอะ
จัดไปเลย..
– introduction เวิ่นเว้อที่มาที่ไป
– ตัวอย่าง1
– ตัวอย่าง2
– ตัวอย่าง3
– conclusion จบตัดตอน

ไม่รู้จะได้คะแนนเท่าไหร่ เพราะลอก passage มาเยอะอยู่ (ก็มันไม่รู้เรื่องเน่ !!!! -*-)
เอามาเปลี่ยนๆภาษาให้เป็นภาษาเรา แต่ก็ไม่รุ้ว่าเค้าจะอ่านรู้เรื่องป่าว T^T
อ่อ… สำหรับข้อนี้ ไม่ต้องแสดงความเห็นของเราลงไปนะคะ เค้าให้เล่าเรื่องที่ได้ยินมาเท่านั้น!!

ข้อสอง ให้ statement มาอันนึง แล้วถามว่าเห็นด้วยมั๊ย ให้แสดงความเห็น
คำถามจะเป็นประมาณว่าเอาเงินไปลงทะเบียนกับระบบ Internet หรือ ระบบขนส่งดีกว่ากัน
อ่านคำถามแล้วลังเลเนอะ… จริงๆใจคิดว่าขนส่งล่ะ
แต่ว่ามันไม่สามารถคิดเหตุผล support ออกมาได้ ก็เลยเอาเป็น Internet ก็ละกัน -*-
จัดไป..
– introduction → เวิ่นเว้อว่าเมื่อก่อนนี้เคยฟังมาถึงข้อดีของเน็ตก็เลยเห็นว่าเน็ตสำคัญ
– เหตุผล1 → ย่อโลก
– เหตุผล2 → หาความรู้ง่าย
– เหตุผล3 → ประหยัดกระดาษ ลดโลกร้อน (แถ -*-)
– conclusion → ยังไงดิชั้นก็เห็นว่า Internet สำคัญกว่าค่ะ

ครั้งนี้เขียนแนวคล้ายๆครั้งก่อน ก็ได้แต่หวังว่าจะได้คะแนนบ้างล่ะเนอะ + +”

.

.

.

พอหน้าจอตัดไป ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่!! พ้นนรกซักที
ท้องก็ร้องโครกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกแทรกขึ้นมาทันที หิวมากกกกกก
ทั้งๆที่ตอนเช้าก็พยายามกินอะไรมาแล้วนะ
แต่มันก็บ่ายโมงกว่า คงได้เวลากินแล้วล่ะนะ
รีบไปหาไรกิน ก่อนกระเพาะมันจะย่อยตัวเองดีกว่า ><

Photobucket

ผลของอาหารมื้อนี้ ท้องอืดใหญ่บะเริ่ม _ _:
โอย ทรมานนนนนนนนนนนนน T^T

End.